ตลาดหุ้นไทยยังไปได้ต่อ

ตลาดหุ้นไทยยังไปได้ต่อ

ตลาดหุ้นไทยยังไปได้ต่อ

เรากำลังเริ่มเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 ซึ่งผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของหุ้นกลุ่มธนาคารก็เริ่มทยอยประกาศออกมากันบ้างแล้ว โดยธนาคารส่วนใหญ่ประกาศผลกำไรออกมาใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สำหรับภาพตลาดรวม เดิมคาดการณ์กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนในปี2018 เติบโตที่ประมาณ 10 -14% จากปี 2017 อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไตรมาสแรกของปี มีแนวโน้มที่จะต้องปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของกำไรลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 10% หรือใกล้เคียง โดยปรับลดลงในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มการเงินเป็นหลัก เนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนต่างๆ อาจต้องตั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 และการประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมธนาคารทางอินเตอร์เน็ตของหลายธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น ทำให้เกิดความกังวลต่อผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร

การหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนไฟฟ้า จึงสมควรหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เป็นโครงการใหม่ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน ข่าวเรื่องคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อาจจะพิจารณาปรับสูตรคำนวณราคาค่าการกลั่น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อกำไรของหุ้นกลุ่มโรงกลั่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งออก ก็มีแนวโน้มถูกปรับลดกำไรลงเช่นกัน เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้น่าจะมีการบันทึกขาดทุนจากค่าเงิน และถึงแม้จะมีการปรับลดการเติบโตของกำไรลง กำไรสุทธิที่เติบโตประมาณ 10% ในปี 2018 ก็ยังมีการเติบโตที่สูงกว่ากำไรสุทธิในปี 2017 ที่เติบโตประมาณ 9% ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้

หากดูภาพเศรษฐกิจ จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดการณ์จีดีพีในปี 2018เติบโตประมาณ 4.2% สูงกว่าปี 2017 ที่โตประมาณ 3.9% สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก ที่ทางIMF ได้คาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 3.9% ในปี 2018 และปี 2019 ส่วนค่าเงินบาทก็ยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง จากระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2017 มาอยู่ที่ระดับประมาณ 31.20 ในปัจจุบัน คิดเป็นการแข็งค่าขึ้นถึง 4.2% ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน และเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง จากการเติบโตของเศรษฐกิจ การเกินดุลการค้าจากการส่งออก และการท่องเที่ยว สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่องจากการขาดทุนการค้าของสหรัฐ แม้ FED จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ตาม

สำหรับปัจจัยภายนอก ที่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ ความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อกดดันจีนที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ ขณะที่จีนก็ออกมาตอบโต้ด้วยการจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น เนื้อหมู ท่อเหล็ก ผลไม้ ถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง และไวน์ เป็นต้น และการที่กลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส โจมตีซีเรีย โดยการยิงขีปนาวุธเพื่อทำลายแหล่งผลิตและวิจัยอาวุธเคมีของซีเรีย ในด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เราเชื่อว่าจะจบลงที่การเจรจาในเงื่อนไขที่ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งผลของการเจรจาน่าจะออกมาภายในเดือนพฤษภาคมก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ ขณะที่การโจมตีซีเรียของพันธมิตรสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะไม่ยืดเยื้อ หรือหากยืดเยื้อก็จะจำกัดขอบเขตอยู่ในประเทศซีเรียเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้สะท้อนเข้าไปในตลาดหุ้น และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงถึง 130 จุดไปแล้ว และหากปัจจัยต่าง ๆ มีการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็น่าจะกลับมาเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นได้ การแข็งค่าของเงินบาทที่จะสนับสนุนให้เงินไหลเข้าตลาดทุนของไทย และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้สู่ระดับ 1900 – 2000 จุดในปีนี้ได้ และหากไม่มีปัจจัยลบที่ไม่คาดคิดเข้ามากระทบตลาดอีก ก็เชื่อว่า SET Index ที่ 1724 จุด น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว