วิสัยทัศน์ โอกาสของคนที่เห็นก่อน

วิสัยทัศน์ โอกาสของคนที่เห็นก่อน

ผู้ที่มีวิสัยทัศน์และมองเห็นโอกาสย่อมได้เปรียบและอยู่รอด

เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและนโยบายต่างๆของประเทศจีน เพราะรู้สึกว่ามีอะไรให้ได้ประหลาดใจอยู่เสมอ และหลายๆครั้งก็ชื่นชมกับความคิดที่ไม่เหมือนใครที่สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานในปัจจุบันได้ ช่วงที่ผ่านมาได้ยินข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมกกะโปรเจ็คของประเทศจีนที่เรียกว่า Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งเป็นการฟื้นฟูและอัพเกรดขนานใหญ่ให้กับเส้นทางเศรษฐกิจที่รู้จักกันดีในนามของ “เส้นทางสายไหม” ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี 

โดยความน่าสนใจของโครงการนี้อยู่ที่โครงสร้างการคมนาคมขนาดใหญ่ที่มีประเทศและกลุ่มองค์กรต่างๆได้ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือนี้เกือบ 70 ประเทศแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต โครงการนี้ครอบคลุม 3 ทวีป คือ เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา หรือ 2/3 ของประชากรโลก คิดเป็น 1/3 ของจีดีพีของโลกเลยทีเดียว จึงเป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างมากว่าในอนาคตข้างหน้า การค้าบนเส้นทางนี้จะมีผลต่อโลกอย่างไร

โครงการ BRI ประกอบไปด้วย 2 โครงสร้างหลัก อันดับแรกเป็นเส้นทางบนภาคพื้นดิน Silk Road Economic Belt (SREB) คือ ทางรถไฟและทางหลวงพิเศษ แบ่งเป็น 6 ระเบียงเศรษฐกิจที่ถูกควบคุมโดยประเทศจีน ได้แก่ 1) สะพานเชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย ทอดผ่านฝั่งตะวันตกของจีนไปสู่ฝั่งตะวันตกของรัสเซีย 2) ระเบียงเศรษฐกิจ จีน-มองโกเลีย-รัสเซีย จากทางตอนเหนือของจีนไปถึงภาคตะวันออกของรัสเซีย 3) ระเบียงเศรฐกิจ จีน-เอเชียกลาง-เอเชียตะวันตก จากฝั่งตะวันตกของจีนไปถึงตุรกี 4) ระเบียงเศรษฐกิจคาบสมุทรอินโดจีน เชื่อมตอนใต้ของจีนไปถึงสิงคโปร์ 5) ระเบียงเศรษฐกิจ จีน-เมียนมา-บังคลาเทศ เชื่อมตอนใต้ของจีนไปถึงเมียนมา และ 6) ระเบียงเศรษฐกิจ จีน-ปากีสถาน อยู่ระหว่างฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของจีนกับปากีสถาน อันดับต่อมา คือ Maritime Silk Road (MSR) หรือเส้นทางเดินเรือและท่าเรือขนาดใหญ่ ที่ผ่านกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างอำนาจในการควบคุมท่าเรือที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ตามแผน String of Pearls ให้กับจีน

การก่อสร้างทั้งหลายในโครงการ BRI ถูกสนับสนุนโดยรัฐบาลจีนในแง่ของเงินทุน บุคลากรและเครื่องมือต่างๆ หลายสถาบันทางเศรษฐกิจต่างมองว่าการให้กู้เงินของจีนในโครงการนี้ถือว่าเสี่ยงมากๆ หลายๆประเทศไม่มีหนทางในการใช้หนี้คืนได้ตามกำหนด แต่สิ่งที่จีนได้กลับมาก็คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงลงทุน เพราะนอกจากจะเป็นการเปิดเส้นทางการนำเข้าและส่งออกสินค้า ตลอดจนเชื้อเพลิงต่างๆ ให้การทำธุรกิจกับจีนเป็นไปอย่างง่ายดายและมั่นคงแล้ว ยังเป็นการขยายฐานอำนาจของจีนที่มีต่อโลกทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและการเมือง เพราะสุดท้ายแล้วจากหนี้ที่ดูเหมือนจะสูญเสีย จีนกลับได้สิทธิในการควบคุมพื้นที่เศรษฐกิจเหล่านั้น 

เช่นที่ ศรีลังกาได้ให้สิทธิในสัมปทานท่าเรือยาวนานถึง 99 ปีให้แก่จีน เมื่อเทียบกับมหาอำนาจปัจจุบันอย่างอเมริกาแล้ว เห็นได้ชัดว่าการเดินเกมของสองขั้วอำนาจของโลกในเวลานี้เป็นไปคนละทิศทางโดยสิ้นเชิง เมื่อจีนใช้กลยุทธ์สนับสนุนและร่วมมือ ในขณะที่อเมริกาเน้นไปที่การกีดกันที่อาจจะนำไปสู่การลดทอนอำนาจและบทบาทของอเมริกาได้ในที่สุด

หากมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยของเรา มีโอกาสอะไรที่เราจะสามารถสร้างและเก็บเกี่ยวได้จากโครงการ BRI นี้ นอกเหนือไปจากโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เป็นที่พูดถึงกันในวงกว้าง โครงการขนาดยักษ์นี้ย่อมนำมาซึ่งสนธิสันญญาทางการค้าอีกมากมาย ทั้งความร่วมมือในกลุ่มประเทศเขตทราน-แปซิฟิก และสัญญาการค้าเอเชีย-แปซิฟิก ที่กำลังเกิดและจะเกิดในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นในท้ายที่สุดจะต้องมีกฎหมายและระเบียบการพิเศษเกิดขึ้นเพื่อควบคุมพื้นที่ในเขต BRI ให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน 

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจและภาครัฐต้องให้ความใส่ใจ เพื่อมองหาโอกาสตลอดจนหาทางป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของเรา อีกผลพวงที่น่าสนใจ คือ การมาถึงของ BRI อาจจะนำไปสู่การลดทอนความสำคัญหรือความเปลี่ยนแปลงในบางด้านของสัญญาการค้าต่างๆ ที่ได้เกิดไปแล้ว ทั้งกลุ่ม ASEAN และ AEC 

นอกจากนี้แผนการเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทย หรือ EEC กับเส้นทางของ BRI นั้นถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะทำให้การขยายโอกาสทางการค้ากับประเทศใกล้เคียงนั้นสะดวกยิ่งขึ้น ที่สำคัญเราควรฉกฉวยโอกาสนี้ในการผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์รวมของการลงทุนในภูมิภาคนี้กับหลายประเทศเพื่อนบ้าน อย่างลาว และ เมียนมา ที่ปัจจุบันสาธารณูปโภคและระบบระเบียบต่างๆ ยังไม่เป็นที่เรียบร้อยนัก 

จริงๆถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจของบริษัททั่วไปแล้ว อาจจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่เห็นได้ชัดจากเรื่องนี้ คือ จีนมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไปไกลและกล้าที่จะฉกฉวยโอกาสนั้นในการลงมือทำ พร้อมความมุ่นมั่นที่จะสร้างให้โครงการใหญ่ขนาดนี้ประสบความสำเร็จ เพราะโลกในปัจจุบันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีวิสัยทัศน์และมองเห็นโอกาสก่อนย่อมเป็นผู้ที่ได้เปรียบและอยู่รอดในทุกสถานการณ์