นวัตกรรมการเกษตร: ทางออกปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทย ตอน 2

นวัตกรรมการเกษตร: ทางออกปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทย ตอน 2

จากบทความตอนที่ 1 ได้พูดถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยว่าแม้โน้มลดลงบ้าง แต่ปัญหายังมีโดยเฉพาะครัวเรือนที่มีอาชีพเกษตรกรรม 5.9 ล้านบาท

ซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากกลุ่มใหญ่ของประเทศ และยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเพาะปลูกความผันผวนของราคา ความไม่เพียงพอของน้ำ รวมทั้งแรงงานสูงอายุมากขึ้น ส่งผลให้ผลิตภาพการผลิตอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทางออกหนึ่งคือการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตให้มากขึ้น ในฉบับนี้จะนำเสนอผู้อ่านถึงระดับการใช้นวัตกรรมการเกษตรของไทยในปัจจุบัน และความท้าทายข้างหน้าของการพัฒนาภาคเกษตรของไทย

1.ระดับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรของไทยอยู่ที่ไหน

จากข้อมูลความหนาแน่นการใช้เครื่องจักรการเกษตรหนึ่งหน่วยต่อพื้นที่การเกษตร ในที่นี้ใช้เทียบเครื่องจักรกลการเกษตรกับรถแทรกเตอร์หนึ่งหน่วย จัดทำโดย USDA พบว่า ตั้งแต่ปี 2547-2557 ค่าเฉลี่ยดังกล่าวของไทยจัดอยู่ในกลุ่มสูงสุด 40 อันดับแรก โดยมีความหนาแน่น อยู่ที่ 1:192 ไร่ และประเทศที่ใช้เครื่องจักรกลการเกษตรอยู่ในระดับสูงคือ ญี่ปุ่น อยู่ที่ 1:20 ไร่ (ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 13,626 ไร่) (รูป 1) ถือว่าระดับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรของไทยไม่น้อยหน้าใคร และภายใต้แนวโน้มที่เกษตรกรมีอายุเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และเกษตรกรหนุ่มสาวน้อยลง ดังนั้น การใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อช่วยทุ่นแรงจึงมีความสำคัญมากขึ้น และปัจจุบัน เกษตรกรนิยมใช้กันมากขึ้น

นวัตกรรมการเกษตร: ทางออกปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทย ตอน 2

จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ชี้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2550-2553 การนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรหลัก 4 ประเภท คือ รถแทรกเตอร์ เครื่องสูบน้ำ รถเกี่ยวนวดข้าว และรถไถเดินตามซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 60% ของมูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลการเกษตรทั้งหมดที่เฉลี่ยปีละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยเติบโตเฉลี่ย 6.4% ส่วนใหญ่นำเข้าจากญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยไทยขาดดุลการค้าและมีแนวโน้มนำเข้าเครื่องจักรกลที่มีเทคโนโลยีสูงและมีราคาแพงเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หากนำหลักการแบ่งเทคโนโลยีด้านการเกษตรจากรายงานของ World Bank ปี 2017 เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มแรกเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิต (Yield Technologies) อาทิ การพัฒนาเมล็ดพันธุ์และผลผลิตการเกษตรผ่านเทคโนโลยีชีวภาพ แทรกเตอร์ ปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ และระบบชลประทาน กลุ่มสองเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ อาทิ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ระบบเครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สาย โปรแกรมฐานข้อมูลกลาง และการส่งข้อความสั้น มาพิจารณาประกอบอาจอธิบายได้ว่า ผลิตภาพค่อนข้างต่ ำส่วนหนึ่งมาจากมีการนำเอาเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศมาใช้ในการจัดการและการตลาดดิจิทัลไม่กว้างขวางนัก และยังไม่เชื่อมโยงเทคโนโลยีไปสู่เกษตรรายย่อยรากหญ้าได้

สอดคล้องกับ รายงาน Enabling the Business of Agriculture 2017 ของ World Bank (รูป 2) จัดอันดับของระบบนิเวศธุรกิจการเกษตร (กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ) 8 ด้าน ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องจักรกลการเกษตร สินเชื่อ การตลาด การขนส่ง ระบบน้ำ และ ICT ของ 62 ประเทศทั่วโลก ที่พบว่าไทยมีระบบนิเวศธุรกิจการเกษตรด้านเมล็ดพันธุ์ เครื่องจักรกลการเกษตร สินเชื่อ และ ICT ในระดับกลางๆ ด้านปุ๋ยในระดับค่อนข้างน่าพอใจ แต่ได้อันดับแย่ในด้านการตลาด การขนส่ง และระบบน้ำ จะเห็นได้ว่าประเทศในแถบยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ สเปน อิตาลี และในเอเชียคือเกาหลี เป็นประเทศที่มีอันดับของระบบนิเวศธุรกิจการเกษตรในอันดับต้นๆ ในแต่ละด้าน ส่งผลให้เกษตรกรในยุโรปเป็นอาชีพที่มีรายได้สูง มีที่ดิน ใช้เทคโนโลยีช่วยในการผลิต และสินค้าเกษตรในยุโรปยังได้มาตรฐาน

นวัตกรรมการเกษตร: ทางออกปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทย ตอน 2

2.การปรับนวัตกรรมภาคเกษตรไทยสู่การเป็น “เกษตรอัจฉริยะ”: ข้อเท็จจริงจากการลงพื้นที่

2.1 เกษตรอัจฉริยะคืออะไร?

นิยามเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ของ FAO กำหนดไว้คือ การบริหารจัดการการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มผลิตภาพทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้คุณสมบัติ “เกษตรอัจฉริยะ” ไว้ว่าเป็นเกษตรกรที่มีรายได้รวมทางการเกษตรไม่ต่ำกว่า 180,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี และคุณสมบัติพื้นฐานอื่นๆ เช่น มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเกษตรอย่างถ่องแท้ (Knowledge) มีข้อมูลทันสมัยประกอบการตัดสินใจ (Data) และตระหนักถึงคุณภาพสินค้า/ความปลอดภัยของผู้บริโภค (Quality) เป็นต้น ในปี 2560 ทั่วประเทศมีเกษตรกรที่ผ่านคุณสมบัติเป็น “เกษตรกรอัจฉริยะ” เพียง 5 หมื่นราย จากจำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียนพัฒนาเป็นเกษตรกรอัจฉริยะทั้งหมด 12 ล้านคน

2.2 ข้อเท็จจริงจากการลงพื้นที่ภาคสนาม

จากการลงพื้นที่ภาคสนามพบปะพูดคุยกับทั้งเกษตรกร นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องด้านการเกษตรในภาคเหนือซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรที่สูง พบว่าปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคเกษตรเพิ่มขึ้นแต่ยังกระจุกตัวในบางกลุ่ม เช่น คนรุ่นใหม่ ธุรกิจด้านการเกษตรขนาดใหญ่ และกลุ่มเกษตรกรภายใต้เกษตรพันธะสัญญา (Contract Farming) ตัวอย่างเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เช่น การใช้อุปกรณ์ตรวจวัดความชื้น วัดอุณหภูมิ และควบคุมอัตโนมัติผ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือ การใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) มาช่วยในการพ่นสารเคมี การใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปในการจัดเรียงสินค้า การใช้ QR Code เพื่อตรวจสอบย้อนกลับว่าผลผลิตนั้นมาจากแหล่งปลูกใด และการทำการตลาดผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น โดยยังมีข้อจำกัดการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรผู้สูงอายุ เนื่องจากยังไม่ปรับเปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อในการทำเกษตรแบบดั้งเดิม และการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตรให้แก่เกษตรกรยังมีน้อย รวมถึงยังขาดเงินทุนในการลงทุนเครื่องจักรและเทคโนโลยีมาใช้ แม้เกษตรกรบางส่วนที่นำเทคโนโลยีมาใช้บ้างแล้ว ก็ยังต้องลองถูกลองผิดและปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเอง เพราะยังไม่มีเทคโนโลยีสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที และยังต้องการระบบพี่เลี้ยง (Mentoring System)

 3.ความท้าทายข้างหน้าภาคเกษตรของไทย: หลักการ “ต่อ เติม แต่ง”

การพัฒนาภาคเกษตรไทยยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในยุค Digital Economy จะสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในด้านรายได้ เป็นการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมไม่ทิ้งกลุ่มใดไว้ข้างหลัง พัฒนาโดยให้ความสำคัญกับหลัก 3 ต. “ต่อ เติม แต่ง” ดังนี้

  1. หลักการ “ต่อ” ความรู้และภูมิปัญญาชาวบ้านดั้งเดิมที่มีคุณค่าและความรู้ใหม่ เป็นการส่ง “ต่อ” ความรู้ระหว่างเกษตรกรด้วยกันเอง และความโปร่งใสภายในชุมชน ส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อย และส่งเสริมความเข้มแข็งของสหกรณ์การเกษตรอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อลดต้นทุนโดยการสร้างระบบเช่าเครื่องจักรกลทางการเกษตรในกลุ่มสมาชิก และเป็นข้อต่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐและเกษตรกร
  2. หลักการ “เติม” ความรู้จากงานวิจัยหรือการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ จากหน่วยงานรัฐและสถาบันการศึกษาถ่ายทอดเชื่อมโยงจากภาคทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติจริงของเกษตรกรรายย่อยให้ได้และพร้อมที่จะให้คำปรึกษาแก่เกษตรกร (Smart Officer) รวมทั้งภาครัฐควรรับฟังความคิดเห็นของเกษตรกรและให้เกษตรกรเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นผลในทางปฏิบัติจริง
  3. หลักการ “แต่ง” ทัศนคติและค่านิยมใหม่ว่าเกษตรกรคือผู้ประกอบการฐานรากที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นอาชีพที่มีคุณค่าด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมรวมทั้งได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและมีอิสระ การกำหนดแนวทางเกษตรทางเลือก เช่น เกษตรอินทรีย์ และส่งเสริมค่านิยมผู้บริโภครับผิดชอบต่อสังคมช่วยซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จากเกษตรกรโดยตรงในราคาที่สูง รวมทั้งภาครัฐควรส่งเสริมภาคเกษตรให้เป็นลักษณะเกษตรเชิงท่องเที่ยวให้มากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง