อย่าเพลี่ยงพล้ำรับหมูทรัมป์เข้าประเทศ

อย่าเพลี่ยงพล้ำรับหมูทรัมป์เข้าประเทศ

ผมเคยเขียนถึงความพยายามของสหรัฐในการบีบบังคับให้ไทยต้องนำเข้าหมูสหรัฐหลายครั้ง ดังเช่นครั้งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย “America First”

พร้อมออกคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐทำการตรวจสอบประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศติดโผเข้าไปด้วย ลำพังเพียงแค่ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐก็นำเอาประเด็นนี้มาเจรจาให้รัฐบาลไทยเปิดนำเข้าชิ้นส่วนหมูสหรัฐแล้ว

ล่าสุด สหรัฐเดินหน้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ตามมาตรการภายใต้มาตรา 232 (National Security) แห่งกฎหมาย Trade Expansion Act of 1962 โดยเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% จากทั่วโลก (รวมทั้งไทยด้วย) แต่มหาอำนาจแห่งเอเชียอย่างจีนรับไม่ได้กับนโยบายนี้ และตอบโต้กลับด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐ จนกระทั่งกำลังจะลุกลามกลายเป็น "สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐกับจีนที่ทั่วโลกจับตามอง

หมูสหรัฐ เป็นหนึ่งในสินค้าที่จีนใช้ตอบโต้ โดยเรียกเก็บภาษีสูงถึง 25% เมื่อจีนเป็นผู้นำเข้าเนื้อหมูใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ มีตัวเลขสั่งซื้อปีที่แล้วสูงถึงกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท การเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงเช่นนี้ เรียกง่ายๆ ว่าปิดประตูซื้อหมูสหรัฐไปเลย แค่นี้สหรัฐก็ต้องดิ้นพล่านแล้ว เพราะระดับราคาเนื้อหมูในสหรัฐลดต่ำลงทันทีจากกิโลกรัมละ 35 บาท เหลือเพียง 25 บาท กระทบเกษตรกรคนเลี้ยงหมูสหรัฐอย่างหนัก กลายเป็นปัจจัยหลักให้สหรัฐหันมากดดันไทยให้นำเข้าเนื้อหมูอีกครั้งทันที

ท่านทูตสหรัฐประจำประเทศไทยส่งสัญญาณแรงกดดันด้วยการถามไถ่ประเด็นนำเข้าหมูกับท่านรองนายกรัฐมนตรีของไทย ก่อนที่คณะรัฐบาลไทยจะเดินทางไปร่วมประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐ (Trade and Investment Framework Agreement Joint Council : TIFA JC) ในระหว่างวันที่ 9-10 เม.ย.ที่ผ่านมา ณ กรุงวอชิงตัน

สหรัฐเองมีมุมมองต่อภาคเกษตรว่า เกษตรกรรมคืออนาคตของสหรัฐ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อสนับสนุนให้ส่งสินค้าเกษตรออกไปขายทั่วโลก ขณะที่จีนเป็นอีกประเทศมหาอำนาจที่ให้ความสำคัญในการปกป้องเกษตรกรของเขา ประเทศไทยเองก็เป็นประเทศเกษตรกรรมที่จะมองข้ามประเด็นเหล่านี้ไม่ได้

มีหลายเหตุผลที่สามารถหยิบยกขึ้นมาเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของสารเร่งเนื้อแดง เนื่องจากสหรัฐเป็นแหล่งผลิตสารเร่งเนื้อแดงที่สำคัญ ทั้งยังเป็นประเทศที่อนุญาตให้มีการใช้สารนี้ได้อย่างถูกกฎหมาย อาจกล่าวได้ว่า เนื้อสุกรของสหรัฐมีสารเร่งเนื้อแดงทั้ง 100% ก็คงไม่ผิด สหรัฐพยายามผลักดันให้ทั่วโลกยอมรับสารเร่งเนื้อแดงผ่านองค์กรสากลที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานอาหาร หรือ โคเด็กซ์ (Codex) แล้วใช้ผลการโหวตที่ชนะอย่างเฉียดฉิวจากเวทีนี้ในการต่อรองผลประโยชน์ด้านการเปิดตลาดเนื้อสุกรในประเทศต่างๆ โดยอ้างว่าตนได้ปรับค่าปริมาณสารเร่งเนื้อแดง แรคโตพามีน (Ractopamine) ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน Codex ที่อนุญาตใช้เลี้ยงสัตว์ได้

แต่เรื่องนี้ยังคงขัดต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อาหาร พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ.2558 ของไทยที่ห้ามไม่ให้ใช้สารเหล่านี้ อีกทั้งกรมปศุสัตว์ยังยืนยันห้ามใช้สารในกลุ่มเบตาอะโกนิสต์ทุกชนิด ขณะที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ตอกย้ำคำเดิมคือ ไม่ให้นำเข้าหมูที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงที่เป็นสารอันตรายมาจำหน่ายในประเทศไทย ขณะเดียวกัน การเลี้ยงหมูในประเทศไทยก็มีพัฒนาการและเติบโตขึ้นเป็นลำดับ มีการลงทุนเทคโนโลยีการเลี้ยงและพัฒนาเข้าสู่ฟาร์มมาตรฐาน โดยมีกรมปศุสัตว์เป็นผู้ตรวจสอบรับรอง แม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคชาวไทยเป็นสำคัญ

การที่สหรัฐใช้ความเป็นมหาอำนาจกดดันไทยเพื่อเร่งระบายเนื้อหมูที่ถูกจีนตอบโต้รุนแรงนี้ ไม่ต่างอะไรกับการหาที่ทิ้งขยะ หากไทยเพลี่ยงพล้ำรับหมูสหรัฐเข้ามา นอกจากคนไทยต้องกินหมูปนสารเร่งเนื้อแดงแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรที่กำลังเผชิญปัญหาราคาหมูตกต่ำจากผลผลิตที่ล้นตลาดอยู่ และไม่เพียงเกษตรกรคนเลี้ยงหมูเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ แต่มันจะมีผลเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งถ้ารวมมูลค่าทั้งอุตสาหกรรมก็สูงถึงราว 8 หมื่นล้านบาท หากต้องล่มสลายเพราะสุกรสหรัฐบุกตลาดไทยแล้ว...ย่อมต้องกระทบภาพรวมเศรษฐกิจของชาติด้วย

ผมเข้าใจว่าทีมเจรจาของไทยคณะนี้น่าจะได้รับแรงกดดันในประเด็นนี้อย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้แทนฝ่ายไทยเป็นผู้มีความรู้ เฉลียวฉลาด มีข้อมูลด้านนี้อย่างเต็มเปี่ยม ตลอดจนรู้เท่าทันเกมของสหรัฐที่คำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศเขาเป็นหลัก ทีมไทยแลนด์ของเราก็ย่อมต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย ผู้บริโภคคนไทย และเกษตรกรไทย เป็นสำคัญด้วยเช่นกัน

นาทีนี้จึงขอเป็นกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์เข้มแข็ง และยืนหยัดปกป้องประเทศจาก “สงครามการค้า” ที่สหรัฐพยายามเหลือเกินที่จะชนะให้ได้ในสนามประเทศไทย... หวังเหลือเกินว่ารัฐบาลไทยจะไม่ปล่อยให้ชีวิตผู้บริโภคต้องแขวนไว้กับการกินสารเร่งเนื้อแดงนำเข้าจากสหรัฐ...และจะปกป้องไม่ให้ไทยต้องกลายเป็นสุสานของเกษตรกรคนเลี้ยงหมูแน่นอน...จริงไหมครับ? … ไทยแลนด์สู้ๆ!!

 

โดย... รศ.ดร.กานต์ สุขสุแพทย์