In Search of Healthier and Longer Life

In Search of Healthier and Longer Life

In Search of Healthier and Longer Life

ผมป่วยด้วยโรคไอและหวัดอยู่เกือบ 10 วันทั้ง ๆ  ที่ไม่เคยป่วยแบบนี้มานานหลายปี  ก่อนวันที่เริ่มป่วยนั้น  ผมทำงานมาทั้งวันและรู้สึกเพลียแต่หลังจากเลิกงานก็ยังฝืนไปวิ่งจ็อกกิ้งต่อตามที่เคยทำเป็นปกติ  ผลก็คือ  “หวัดกิน”  ยาวนานกว่าปกติจนผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นหวัดสายพันธุ์ใหม่ ๆ  หรือเปล่า  หรือมันอาจจะเป็นการฟ้องว่าร่างกายของเราเริ่มเสื่อมถอยลงแบบ  “คนแก่” ที่จะเริ่มป่วยบ่อยขึ้น  สุขภาพแย่ลงเรื่อย  ๆ  และในที่สุดก็ตายตาม “อายุขัย” ของผู้ชายในสังคมไทยบวกลบปัจจัยเช่นเรื่องของยีนอายุของพ่อแม่ เป็นต้น

ถ้าผมกลับไปอยู่ในยุคอยุธยาสมัยพระนารายณ์มหาราชอย่างในละครเรื่องบุบเพสันนิวาสเมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้ว  การที่ผมยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงพอประมาณในวันนี้ทั้งที่อายุ 65 ปีแล้วก็น่าจะถือว่าเป็นคนที่มีสุขภาพดีและอายุยืนอย่างมหัศจรรย์น้อยคนที่จะทำได้  ว่าที่จริงแม้แต่ในช่วงที่ผมยังเป็นเด็กราว 60 ปีที่แล้ว  คนอายุ 65 ที่ยังแข็งแรงเดินเหินได้คล่องไม่ต้องพูดถึงการวิ่งก็ถือว่าเป็นคนที่มีสุขภาพดีเยี่ยมหาคนเทียบได้ยาก  เพราะคนอายุขนาดนี้ในสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็น “ทวด” ถือไม้เท้ากันหมดแล้ว

ผมไม่รู้ว่าในที่สุดผมจะอยู่ได้อย่างมีสุขภาพที่ดีจนถึงกี่ปี  เพราะปัจจัยที่กำหนดเรื่องนี้ในแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน  โชคชะตาซึ่งรวมถึงยีนของเราเองก็คงมีส่วนอยู่ไม่น้อย  แต่ก็แน่นอนว่าเราคงไม่ได้อยู่เฉย ๆ  โดยไม่ศึกษาหาหนทางที่จะเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีอายุที่ยืนขึ้นในยุคที่วิวัฒนาการของโลกก้าวหน้ามาก  ศาสตร์และเท็คนิคในการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีและมีอายุที่ยืนยาวที่ผมพยายามแสวงหาเท่าที่ยังพอจำความได้นั้นมีคร่าว ๆ  ดังต่อไปนี้

เริ่มตั้งแต่เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว  ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง Melatonin Miracle เขียนโดย Walter Pierpaoli หนังสือเล่มนี้แนะนำให้ผมรู้จักเรื่องของฮอร์โมนเมลาโทนินที่ผู้เขียนบอกว่ามันไม่ใช่เป็นแค่ฮอร์โมนที่ช่วยบอกให้ร่างกายหลับ  แต่มันเป็นฮอร์โมนที่เป็นเหมือน “คอนดัคเตอร์” ในวงดนตรีที่คอยกำกับให้ฮอร์โมนอื่น ๆ  ทำงานกันอย่างเป็นระบบซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานของร่างกายทุกส่วน  ประเด็นก็คือ  เวลาเรา “แก่” คือตั้งแต่อายุ 30-40 ปี ขึ้นไป  การผลิตเมลาโทนินของร่างกายก็เริ่มลดลงและลดลงมากขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเราอายุ 50-60 ปีขึ้นไป  ปริมาณการผลิตเมลาโทนินจะมีน้อยมากจนทำให้การทำงานของฮอร์โมนอื่น “รวน”  และร่างกายก็จะค่อย ๆ  เสื่อมไปทีละระบบ  การไปตามแก้หรือรักษาโรคและอาการแต่ละอย่างนั้นไม่ได้ผล  เราจะต้องรักษาต้นเหตุคือ “โรคแก่”  ซึ่งก็คือโรคขาดเมลาโทนิน   ผู้เขียนหนังสือยังได้ทดลองผ่าตัดสลับต่อมผลิตเมลาโทนินของหนูชนิดหนึ่งที่แก่กับตัวที่ยังหนุ่มซึ่งผลปรากฏว่าหลังจากนั้น  หนูที่แก่กลายเป็นหนูหนุ่มและหนูที่หนุ่มก็กลายเป็นหนูแก่

ผมรู้สึกทึ่งในทฤษฎีและการค้นคว้านั้นมากและรู้สึกว่าการลองกินเมลาโทนินนั้นไม่ได้มีอะไรเสียหาย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  มันเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตอยู่แล้วตอนเรานอน  ดังนั้น  ผมก็เริ่มกินเมลาโทนินในจำนวนน้อย ๆ  และต่อเนื่อง  ในช่วงหลายปีแรกดูเหมือนว่าทุกอย่างก็ดูดี  เรื่องอื่นผมไม่รู้แต่การหลับนั้นดีขึ้น  ตื่นเช้าสดชื่นขึ้น  อย่างไรก็ตาม  หลังจากกินมาน่าจะไม่น้อยกว่า 7-8 ปี  ผมก็เริ่มชินและเริ่มมีปัญหาบางอย่างและก็เลิกกินไป  บางทีทฤษฎีมันอาจจะไม่ค่อยใช่  เมลาโทนินอาจจะไม่ได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น

 ต่อจากเมลาโทนินไม่นานน่าจะไม่เกิน 2-3 ปี  หนังสือกลุ่มใหม่ที่เริ่มมีออกมา “เป็นชุด”  ก็คือเรื่องที่ผมเรียกว่า  “Super Hormones”  นี่คือกลุ่มหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับ “มหัศจรรย์ของฮอร์โมน” ที่มีต่อร่างกายของเรา  ฮอร์โมนที่ดูเหมือนจะเป็น  “พระเอก” ก็คือ  Growth Hormone เพราะมันเป็นตัวเสริมสร้างร่างกายส่วนที่สึกหรอและทำให้เรา “เติบโต”  ประเด็นก็คือ  ในยามที่เราเป็นเด็กนั้น  ร่างกายผลิตมาก  พออายุเกิน 25-30 ปีมันก็จะผลิตน้อยลงมาก—และนั่นทำให้เราไม่เป็นเด็ก  เรากลายเป็นคนแก่  ดังนั้น  ถ้าเราต้องการให้เป็นเด็กเราก็ต้องทำให้ร่างกายเรามี Growth Hormone เท่ากับเด็ก  เราต้องเสริมด้วยฮอร์โมนจากภายนอก   ข้อยืนยันของนักวิจัยและนักเขียนก็คือลองให้คนอายุมากอาจจะ 40-50 ปีฉีด  Growth Hormone โดยปรับระดับให้เหมือนกับระดับของหนุ่มสาวอายุ 25-30 ปี  ผลก็ปรากฏว่าคนเหล่านั้น  “รู้สึกได้ถึงความเป็นหนุ่มสาว”  เช่นเดียวกับข้อมูลสนับสนุนอื่น ๆ เช่น ระดับของการสร้างกล้ามเนื้อ เป็นต้น 

ผมเองได้ทดลองฮอร์โมนบางตัวที่พอหาได้จากท้องตลาดและสามารถกินได้  เช่น ฮอร์โมน DHEA ซึ่งเป็น “ฮอร์โมนตั้งต้น”  ที่ร่างกายนำไปใช้ผลิตฮอร์โมนตัวอื่นเช่น ฮอร์โมนเพศชายหรือ Growth Hormone  การกินฮอร์โมน DHEA ของผมนั้นทำไม่นาน  เพราะผมรู้สึกว่ากินแล้วมันรู้สึก  “ร้อน”  มีความกระตือรือร้นมากกว่าปกติ  ในส่วนของ Growth Hormone นั้น  ผมเคยลองใช้วิธี “ฉีดเข้าใต้ลิ้น”  แต่พบว่ามีผลข้างเคียงทำให้วิงเวียนหัวหมุนและได้เลิกไป  อย่างไรก็ตาม  ผมเองคิดว่าถ้าสามารถใช้ Growth Hormone ฉีดเข้าร่างกายทุกวัน  มันก็น่าจะมีผลที่ทำให้เรารู้สึกหนุ่มขึ้น  เพราะผมเห็นเพื่อนบางคนที่ใช้ต่อเนื่องมายาวนานนับสิบปีนั้น  ดูเหมือนว่าร่างกายและจิตใจเขาจะหนุ่มลงจริง ๆ  โดยที่ไม่ได้มีอะไรแทรกซ้อน  อย่างไรก็ตาม  การใช้ Growth Hormone ในประเทศไทยกับคนแก่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ทำให้ทดลองได้ยาก

เมื่อความรู้เกี่ยวกับยีนและ DNA เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด  ช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาก็เป็นยุคของ “Telomere” ซึ่งเป็นส่วนปลายของโครโมโซมและเป็นคล้าย ๆ  กับปลอกที่คอยปกป้องโครโมโซมจากสิ่งอื่น ๆ   รวมถึงมีบทบาทในเรื่องของการแบ่งเซลของร่างกาย  ประเด็นหัวใจของเรื่องก็คือ  เทโลเมียร์ของแต่ละคนนั้นสั้นยาวไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ  เช่นกรรมพันธุ์  สภาพแวดล้อม  การใช้ชีวิต  และอายุ เป็นต้น  เทโลเมียร์ที่ยาวก็จะมีอายุยืน  คนที่มีเทโลเมียร์ที่สั้น  อายุก็จะสั้น  เพื่อนของผมคนหนึ่งได้ไปตรวจหาความยาวนี้แล้วพบว่าเทโลเมียร์ของเขายังยาวกว่ามาตรฐานอายุที่ควรจะเป็น  เหตุผลที่ยาวนั้นก็คาดว่าเป็นเพราะเขาค่อนข้างดูแลตัวเองดีมาก  มีกล้ามเนื้อเป็นมัดอย่างนักเพาะกาย  มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เครียดเพราะเป็นนักลงทุนที่มีพอร์ใหญ่มาก  เป็นต้น

ผมเองยังไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องของเทโลเมียร์แม้ว่าอาจจะมีโอกาสที่เราจะปรับตนเองที่ทำให้เทโลเมียร์ยาวขึ้นได้  อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าในภาวะปัจจุบันผมก็พอจะรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้สุขภาพดีขึ้นเพียงแต่ว่าหลายอย่างเราก็ “ไม่อยากทำ”  เนื่องจากการทำแบบนั้นอาจจะทำให้คุณภาพชีวิตอย่างอื่นของเราแย่ลง  ตัวอย่างเช่นการกินผักเป็นหลักหรือการลดอาหารมันการลดการบริโภคแอลกอฮอหรือแม้แต่การนอนแต่หัวค่ำ เป็นต้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมก็ไม่แน่ใจว่าความยาวของเทโลเมียร์มันจะบอกได้แม่นยำขนาดไหนว่าเราจะมีอายุยืนยาวได้แค่ไหนและสุขภาพกายและใจจะอยู่ในระดับใด

ล่าสุดที่อาจจะมีโอกาส  “ปฏิวัติ” เรื่องความยืนยาวของชีวิตมนุษย์จริง ๆ  ก็คือการค้นพบว่าสัตว์และน่าจะรวมถึงมนุษย์ที่ถูกทำให้อดอาหารอย่างหนักนั้น  ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนหรือทำอะไรบางอย่างที่จะเอาตัวรอด  กระบวนการนั้นทำให้อายุของสัตว์บางชนิดยาวขึ้นถึง 30%  ในอดีตมีคนลองอดอาหารอย่างหนักก็พบว่าร่างกายเขาดูอ่อนเยาว์ขึ้นจริง ๆ   แต่นั่นคงไม่ใช่ทางออกที่เราอยากใช้  โชคดีที่ว่าขณะนี้ดูเหมือนว่านักวิทยาศาสตร์จะค้นพบกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายอดอาหารอย่างหนัก    และพวกเขาก็สามารถผลิตยาอะไรบางอย่างขึ้นมาให้คนกินแทนที่การอดอาหาร  ซึ่งเมื่อกินเข้าไปก็ทำให้ร่างกายตอบสนอง  ถ้าทุกอย่างเป็นจริงแบบนั้น  ต่อไปไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะมีอายุยืนถึง 150 ปีโดยเพียงแต่กินยาเพิ่มวันละเม็ดก็เป็นได้

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเสี้ยวเล็ก ๆ  จากประสบการณ์ของผมในการค้นคว้าหายา “อายุวัฒนะ” เพื่อทำให้มีสุขภาพที่ดีและอายุยืน  ผมคิดว่ายังค้นไม่พบแต่ก็น่าจะทำให้ชีวิตและจิตใจดีขึ้น  ถ้าโชคดีก็อาจจะมีชีวิตที่ยาวขึ้นด้วย   ผมเคยพูดย้ำอยู่เสมอว่าสำหรับผมแล้ว  ด้วยอายุขนาดนี้  ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าสุขภาพ  แม้แต่ความสำเร็จของการลงทุนนั้น  เวลานี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการซื้อหุ้นถูกตัวมากเท่ากับการมีสุขภาพที่ดีและอายุที่ยาวขึ้น   นี่คือช่วงของการใช้  “แก้วดวงที่สาม” มากกว่าดวงที่สองในการลงทุน