การสิ้นคิดเป็นวิกฤตของสัตว์โลก !!

การสิ้นคิดเป็นวิกฤตของสัตว์โลก !!

การสิ้นคิดเป็นวิกฤตของสัตว์โลก !!

เจริญพรสาธุชนผู้มีสติปัญญา... อาตมาได้รับนิมนต์มาเขียน “ธรรมส่องโลก” ที่กรุงเทพธุรกิจ ประจาวันอาทิตย์ เพื่อพูดคุยกับผู้มีจติ ศรัทธาในธรรม ว่าด้วยเรื่องเบาๆ แบบมีสาระธรรม

จริงๆ แล้ว ทุกเรื่องราวที่ผุดปรากฏในชีวิตของเรา ทั้งจากตัวเราและสังคม สิ่งแวดล้อม ล้วน แล้วแต่เป็นเรื่องเบาๆ ที่มีสาระ หากเรามีสติปัญญา รู้จักการพินิจพิจารณา

การรู้จักพินิจพิจารณา เป็นกระบวนการใช้สติปัญญาด้วยธรรมวิธีแห่งปัญญาที่สาคัญที่สุดใน พระพุทธศาสนาของเรา ดังมีคากล่าวว่า “การพิจารณาธรรมโดยแยบคายด้วยธรรมวิธีแห่งปัญญา ที่ เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ย่อมให้อานิสงส์บุญกุศล ดุจดังก่อพระเจดีย์ใหญ่..”

การกระทาในใจโดยแยบคาย หรือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ในทางพุทธศาสนาถือว่ามี คุณค่าเท่ากับการปฏิบัติตนอยู่ในอัปปมาทธรรม (ความไม่ประมาท) ซึ่งเป็นยอดแห่งธรรม ที่รวมพระธรรม วินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ลงในอัปปมาทธรรม... ความไม่ประมาทจึงเป็นแหล่งรวมกุศลธรรมทั้งหมด

วันนี้แห่งสังคมที่พึ่งระบบไอทีเป็นใหญ่ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ความประมาท ที่ก่อเกิดขึ้นในจิตสัตว์ เราทั้งหลาย ทั้งนี้ เพราะเราขาดการคิดพิจารณาโดยแยบคาย ด้วยกระบวนการวิธีแห่งปัญญา.. ทุกสิ่งทุก อย่างในชีวิตของเราได้ฝากไว้กับเครื่องมือเทคโนโลยีชั้นสูงในระบบไอที จนเกือบไม่ต้องคิดพิจารณาอะไร ให้มากความดังแต่ก่อน..ทกุอย่างสาเร็จอยู่ที่ปลายนิ้ว..จนระบบไอทีดังกล่าวได้ถือครองโลกไปเกือบหมด สิ้น ไม่เว้นแม้ในเขตของพระศาสนา

จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ย่อมอยู่ภายใต้อานาจสัจธรรมอยู่ข้อหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นความมี สองส่วนสองด้านเป็นปกติ เพื่อสร้างความขัดแย้งกันอย่างมีดุลยภาพ ให้โลกเคลื่อนไหวไปตามแรงผลัก และแรงดึงที่ปรากฏอยู่ในโลก.. (คือ ชีวิตของเรา !)

ความมีสองด้านจึงสะท้อนให้เห็นความจริงว่า เมื่อสิ่งนี้มีประโยชน์ก็ต้องมีโทษควบคู่อยู่ด้วย เมื่อมี เกิดก็มีดับ มีมืดก็ต้องมีสว่าง มีบาปก็มีบุญ มีสุขก็ต้องมีทุกข์...

...โลก (ชีวิต) จึงสะท้อนให้เห็นนิยามความเป็นธรรมดาของความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตาม เหตุปัจจัย และที่สุดย่อมสิ้นสูญสลายไป เมื่อเหตุปัจจัยนั้นสิ้นไป... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเป็นธรรม นิยามของความเป็นโลก..

เมื่อโลกเป็นไปเช่นน้ี จึงไม่แปลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้อานาจของโลก ก็ต้องเป็นไปเช่นนี้ ไม่ว่าสิ่ง น้ันในโลกนี้จะวิเศษวิโสอย่างไร ที่สุดก็ต้องเป็นไปตามวิถีโลก ที่กากับด้วยธรรมนิยามว่า ต้องเป็นเช่นนี้เอง !

การพึ่งพาอานาจวัตถุวิเศษของโลก จนสิ้นคิด จึงเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดของมนุษยโลกในทุกยุคทุก สมัย เพราะนั่นหมายถึง กาลเข้าสู่ความตกต่าของจิตวิญญาณสัตว์โลก ที่ตกอยู่ภายใต้อานาจของโลก

(กิเลส) อย่างสิ้นเชิง... ความมืดจึงย่อมปกคลุมโลกด้วยอานาจของอวิชชา... และไม่แปลก ที่เราจะเห็นการ ทะเลาะวิวาท ไร้ความรักสามัคคี ในหมู่สัตว์สังคมมากยิ่งๆ ขึ้น ทั้งนี้ ด้วยเพราะจิตใจที่อ่อนแอจนไม่ สามารถพิจารณาโดยแยบคาย เพื่อให้เกิดความรู้ที่ตรงธรรมได้ จึงนาไปสู่การเข้าใจอย่างไม่มีความรู้ .. ขาดปัญญา ซ่ึงแม้ว่า สิ่งน้ันๆ จะสามารถทาได้ ประสบความสาเร็จตามประสงค์ แต่มิใช่เกิดขึ้นจากการ รู้จักคิดพิจารณาโดยแยบคาย หรือ เกิดจากปัญญาของตนที่แท้จริง.. การประสบความสาเร็จในการ กระทานั้นๆ ที่อิงอาศัยวัตถุภายนอก หรือยืมมือคนอื่นกระทา ย่อมไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ใดๆ ในทาง คุณภาพชีวิตของความเป็นสัตว์ประเสริฐเลย !!