จีนขโมยเทคโนโลยี?

จีนขโมยเทคโนโลยี?

เสี้ยนหนามสำคัญที่กำลังทิ่มแทงใจสหรัฐก็คือ ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมไฮเทคของจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แผน Made in China 2025”

ตอนนี้สหรัฐออกมากล่าวโทษร้องทุกข์ว่า จีนใช้วิธีขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐ เพื่อบรรลุแผนการใหญ่ดังกล่าว

เมื่อปลายเดือน มี..ที่ผ่านมา สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ ได้เปิดเผยรายงานพฤติกรรมการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของจีน (USTR Section 301 Report) รายงานฉบับดังกล่าวมีการกล่าวถึงแผน Made in China 2025 รวมถึง 116 ครั้ง สะท้อนชัดว่าสหรัฐเห็นยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของจีนเป็นภัยคุกคามสำคัญ   

รัฐบาลจีนประกาศแผน Made in China 2025 เมื่อปี 2015 โดยกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ หุ่นยนต์ รถยนต์พลังงานสะอาด ฯลฯ มุ่งหมายเพื่อพลิกโฉมจีนจากแหล่งผลิตของถูกเป็นแหล่งอุตสาหกรรมก้าวหน้าชั้นนำของโลก

จากเดิมที่สหรัฐไม่เคยเห็นเทคโนโลยีจีนอยู่ในสายตา ตอนนี้กลับมองว่าจีนกลายเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เพราะปัจจุบันจีนรวยขึ้นมากจนมีทุนหนาพอจะกว้านซื้อบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐ และแผน Made in China 2025 ก็คิดการใหญ่ถึงขนาดตั้งเป้าขับเคลื่อนให้จีนครองตลาดโลกในเรื่องสินค้าไฮเทค เหมือนที่ตอนนี้จีนครองตลาดโลกในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูก

รายงานของสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐแจกแจงวิธีที่จีนใช้ลักลอบเทคโนโลยี ดังนี้

1.บังคับให้บริษัทสหรัฐต้องร่วมทุนกับบริษัทจีน และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังจะเข้าถึงตลาดผู้บริโภค 1.4 พันล้านคน (ไม่มีกฎหมายทางการบังคับ แต่ทางจีนมักขอความร่วมมือให้ทำสัญญาข้อตกลงกับบริษัทจีน หรือบริษัทจีนที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่มักเอาเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาเป็นเงื่อนไขที่จะร่วมทุนด้วย)

2.กฎหมายในเรื่องการจัดการสิทธิเทคโนโลยี เช่นกำหนดว่า หลังจากที่บริษัทจีนซื้อสิทธิในการใช้เทคโนโลยีเป็นเวลาต่อเนื่องเกิน 10 ปีแล้ว บริษัทจีนสามารถใช้เทคโนโลยีต่อไปได้หลังจากสัญญาสิ้นสุดลง

3.บริษัทจีนเข้ากว้านซื้อบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐ โดยมุ่งเน้นในภาคอุตสาหกรรมตามแผน Made in China 2025 เช่น หุ่นยนต์ การบิน วงจรรวม (IC) ชีวเทคโนโลยี ฯลฯ ด้วยการสนับสนุนทางอ้อมจากรัฐบาลจีน (เช่น ให้ธนาคารของรัฐปล่อยแหล่งเงินกู้ราคาถูก) จนทำให้บริษัทจีนได้เปรียบคู่แข่งในการเข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้

4.ทำสงครามไซเบอร์แฮ็กข้อมูลความลับทางการค้าและเทคโนโลยีของบริษัทสหรัฐ โดยในเรื่องนี้รายงานของสหรัฐยอมรับว่า ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโอบามาได้ออกมาประท้วงเรื่องนี้เมื่อปี 2014 การโจรกรรมข้อมูลทางไซเบอร์โดยฝ่ายจีนลดลงไปมาก แต่ยังคงมีอยู่

เพื่อตอบโต้พฤติกรรมเหล่านี้ของจีน เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา สหรัฐได้ฟ้องคดีต่อองค์การการค้าโลก (WTO) (คดีหมายเลข DS542) โดยร้องเรียนว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีของจีนฝ่าฝืนข้อตกลงขององค์การการค้าโลก

ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้สั่งให้กระทรวงการคลังของสหรัฐ รีบพิจารณาหามาตรการควบคุมการลงทุนจากจีน เพื่อยับยั้งทุนจีนที่เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐ ตามแผน Made in China 2025

มาตรการ (จะ) ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็เน้นไปที่สินค้าในภาคอุตสาหกรรมตามแผน Made in China 2025 เป็นหลัก ขณะที่ฝ่ายจีนเองก็โต้กลับด้วยการฟ้องคดีต่อองค์การการค้าโลก (คดีหมายเลข DS543 และ DS544) พร้อมประกาศว่าถ้าสหรัฐกล้าขึ้นภาษีจริง จีนก็จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ ซึ่งจะกระทบฐานเสียงชนบทของประธานาธิบดีทรัมป์

สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนเสนอบทวิเคราะห์ว่า รายงานเรื่องจีนขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐ เป็นการนั่งเทียนเขียน คิดเองเออเอง สหรัฐดูถูกศักยภาพของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีมากเกินไป การถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนสำคัญก็คือ R&D ของจีนเอง ปัจจุบัน งบ R&D จีนคิดเป็นสัดส่วน 2.1% ของ GDP ขึ้นแท่นสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ นอกจากนั้น จีนยังขึ้นแท่นเป็นประเทศที่ยื่นขอจดสิทธิบัตรต่อองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) มากที่สุดในโลกด้วย

ฟังข่าวจีนคุยโม้แล้ว ผมอดสงสัยไม่ได้ว่ารายงานของรัฐบาลสหรัฐ เข้าทำนองวัวหายล้อมคอกหรือเปล่า ภายในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทุนจีนได้เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐไปแล้วมากมาย (แค่ดูลิสต์รายชื่อบริษัทที่ถูกจีนซื้อไปตามรายงานก็หนาวแล้ว)

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา การที่บริษัทสหรัฐยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทจีน เพื่อแลกกับการเข้าสู่ตลาดจีน ก็ทำให้ตอนนี้บริษัทจีนในหลายภาคอุตสาหกรรมมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาก แถมหลายอย่างบริษัทจีนเองยังได้ทำ R&D ต่อยอดจากเดิมขึ้นไปอีก

เอาเข้าจริง ประธานาธิบดีทรัมป์อาจทวีตถูกต้องก็ได้นะครับ ทรัมป์บอกว่า “สงครามการค้ากับจีนจบไปนานแล้ว เพราะจีนได้ชนะไปนานแล้ว” ทรัมป์ต้องการจะด่าผู้นำสหรัฐคนก่อนๆ แต่ก็ชวนคิดจริงๆ ครับว่า สหรัฐรู้ตัวตอนนี้สายไปหรือยัง?