‘บัญชีดำ’ บิดเบือนค่าเงิน เม.ย.นี้ ลุ้นกันอีกรอบ

โดยกระทรวงการคลังสหรัฐ จะเป็นผู้เปิดเผยรายละเอียดดังกล่าวในช่วงกลางเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งครั้งนี้มีความเสี่ยงที่ชื่อ “ประเทศไทย” อาจพ่วงเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย

ความจริงแล้ว “ไทย” ถูกเฝ้าจับตาโดย “ต่างชาติ” มาตลอดว่า อาจถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดังกล่าว เนื่องจาก “คุณสมบัติ” ของไทยเข้าตามเกณฑ์ทุกข้อ

เกณฑ์ที่สหรัฐกำหนดไว้มี 3 ข้อหลัก คือ

1.เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ...กรณีของไทย ปี 2560 เกินดุลบัญชีเดินสะพัดราว 10.4% ของจีดีพี

2.สะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% ของจีดีพี ...กรณีของไทย เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในปี 2560 เพิ่มขึ้นราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6.5% ของจีดีพี

3.เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ...กรณีของไทยในปี 2560 เกินดุลการค้ากับสหรัฐราว 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์

ดูแบบนี้แล้ว.. “ไทย” นับว่าเข้าองค์ประกอบครบทุกข้อ เพียงแต่ยังมีอีก “หนึ่งเงื่อนไข” ซึ่งเป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้ไทยรอดพ้นจากบัญชีดำของสหรัฐมาโดยตลอด คือ เงื่อนไขการเป็น “คู่ค้าหลัก” ของสหรัฐ

เกณฑ์ Currency manipulator ที่สหรัฐหยิบขึ้นมาใช้เพื่อดูว่า ประเทศใด “บิดเบือนค่าเงิน” เพื่อหวังผลการค้ากับสหรัฐหรือไม่ จะเน้นไปที่ประเทศคู่ค้า 12 อันดับแรก แต่ของไทย นับเป็นคู่ค้าอันดับต่ำกว่า 15 ลงมา ล่าสุดอยู่อันดับที่ 21

เพียงแต่ยังไม่ใช่เรื่องที่เราจะวางใจได้ โดยเฉพาะในภาวการณ์ที่ สหรัฐ ทำทุกวิถีทางเพื่อ “ลดการขาดดุลการค้า” กับประเทศต่างๆ ซึ่งสูงกว่าปีละ 5 แสนล้านดอลลาร์ลง จึงมีโอกาสที่สหรัฐอาจปรับเงื่อนไขคำว่า “ประเทศคู่ค้าหลัก” ให้กว้างขึ้นก็เป็นได้

ที่สำคัญช่วงต้นปี 2561 เพิ่งมีบทวิเคราะห์จาก “แบงก์ ออฟ โตเกียว มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ” สำนักวิจัยชื่อดังในต่างประเทศ ประเมินว่า ไทย มีความเสี่ยงที่จะเข้าไปอยู่ในข่ายบัญชี Currency manipulator ของกระทรวงการคลังสหรัฐ เนื่องจาก ไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ในแง่เปอร์เซ็นต์การเติบโต เพิ่มขึ้นสูงสุด

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมาลุ้นกันอีกครั้งว่า การประกาศรายชื่อประเทศที่เข้าข่ายบิดเบือนค่าเงินเพื่อหวังผลทางการค้าของกระทรวงการคลังสหรัฐ ในกลางเดือนเม.ย.นี้ จะมีชื่อไทยติดเข้าไปด้วยหรือไม่

..ภาวนาให้เรารอดครับ!