สิทธิในการลบล้างข้อมูลส่วนตัว

สิทธิในการลบล้างข้อมูลส่วนตัว

รัฐบาลบางประเทศกำลังกล่าวถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลประชาชนอย่างกว้างขวาง ภายใต้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ก่อนนี้ทำไม่ได้ เพราะขีดจำกัดทางเทคโนโลยี

แต่ก่อนแค่จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ และที่ทำมาหากินของชาวบ้านที่มีหลายสิบล้านคน ก็ยากเย็นเต็มที ลงทุนกันเหยียบหมื่นล้านในการจัดหาระบบไอที และไม่ค่อยจะได้ข้อมูลที่ใช้ประโยชน์อะไรได้ดั่งที่คาดคิดไว้ 

เล่ากันว่ามีบ้านเมืองหนึ่งกำหนดให้พาหนะขนส่งสินค้าทุกชนิด ต้องรายงานข้อมูลการเดินทางมาที่ศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ศูนย์ข้อมูลของหน่วยงานนั้น และหากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่มีใครทราบว่าข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้เก็บไว้ที่ใด และข้อมูลถูกใช้ทำอะไรต่อไปบ้าง เมื่อใดก็ตามที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงกับพาหนะประเภทใด พาหนะประเภทนั้นจะถูกกำหนดให้ติดตั้งระบบรายงานข้อมูลการเดินทาง เพิ่มเติมจากพาหนะประเภทที่ได้กำหนดไว้แล้ว 

การเก็บรวบรวมข้อมูลของชาวบ้านไว้เยอะๆ นอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายที่อาจมากเกินความจำเป็นแล้ว ยังต้องชวนกันมองไปไกลๆ หน่อยว่า ข้อมูลเหล่านั้นวันหน้าจะให้คุณให้โทษกับชาวบ้านที่เป็นเจ้าของข้อมูลนั้นได้หรือไม่ ข้อมูลการขับรถเร็วของคนหนุ่มคนหนึ่ง จะให้คุณให้โทษกับการหางานทำของคนหนุ่มคนนั้นในวันหน้าได้หรือไม่ นายจ้างใจกว้างพอจะมองข้ามข้อมูลที่สะสมกันไว้เยอะแยะ โดยดูแต่ฝีมือเพียงอย่างเดียวหรือไม่

ในวันที่ใครต่อใครพากันบอกว่าจะใช้บิ๊กดาต้ามาทำนั่นทำนี่ ไม่มีใครบอกชัดๆ ว่าสิทธิของเจ้าของข้อมูลนั้นมีมากน้อยเพียงใด มีหน่วยงานหนึ่งถึงขนาดบอกว่าหน่วยงานของตนจะรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของผู้คนในบ้านเมืองนั้น เพื่อใช้บอกว่าสถาบันการศึกษาที่เล่าเรียนกันมานั้นดีมากน้อยแค่ไหน 

ถ้าแค่บอกว่า สถาบันที่เล่าเรียนกันนั้นดีแย่แค่ไหน คงไม่มีพิษภัยใดๆ ในวันหน้า แต่ถ้าเอาไปใช้กีดกันความก้าวหน้าด้านอาชีพการงานของคนคนนั้น เพียงเพราะมีข้อมูลว่าคนนั้นเคยเล่าเรียนไม่ได้คะแนนดีนัก ข้อมูลพฤติกรรมในการเล่าเรียนของผู้คนที่เก็บไปมากๆ นั้น หากไม่ต้องการให้มีพิษภัยในวันหน้า คนที่ทำให้เกิดข้อมูลนั้นต้องมีสิทธิในการลบล้างข้อมูลที่ตนคิดว่าจะนำไปสู่ปัญหากับตนเองออกไปได้ ซึ่งวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักว่าสิทธินี้มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด

ขอให้ลองจินตนาการดูว่าถ้ามีบิ๊กดาต้าเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของเรา และถูกรวบรวมไว้ตั้งแต่เราเกิดมา ว่าไปเกิดที่ไหน ใครเป็นพ่อแม่ เกิดพร้อม ๆกับใครบ้าง โตขึ้นเข้าไปเรียนหนังสือในโรงเรียนก็ตามไปเก็บอีกว่าเราเล่าเรียนดีไม่ดีแค่ไหน เราคบกับใคร ใครจีบใครกันบ้าง ตอนเป็นวัยรุ่นเรากินข้าวที่ไหน ดูหนังอะไร เกเรอะไรมาบ้าง เขียนอะไรไว้บ้างในเครือข่ายสังคม พอเริ่มทำมาหากินก็ตามไปเก็บต่ออีกว่าเราค้าขายอะไรกับใคร ขับรถยี่ห้อไหน ซื้อมาจากใคร เราเป็นสมาชิกร้านใดบ้าง เราไปออกกำลังที่ไหน ไปหาหมอคนไหน หรือแม้กระทั่งว่าเราเจ็บป่วยอะไรกันบ้าง 

ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเรานั้น แต่ก่อนต่างเรื่องต่างอยู่คนละที่ บอกไม่ได้ว่าคนขับรถยี่ห้อนี้ ปีนี้เสียภาษีมากแค่ไหน เจ็บป่วยอะไรกันบ้าง เพราะไม่มีการเชื่อมโยงกัน แต่ถ้าใครสักคนสามารถใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ และถ้าใครคนนั้นบังเอิญเป็นคนบริหารบ้านเมือง ใครคนนั้นจะมองเราโดยปราศจากอคติได้หรือไม่ และถ้าคนบริหารบ้านเมืองรู้ข้อมูลส่วนบุคคลมากมายเกินกว่าที่จำเป็น ใครบ้างจะรับประกันได้ว่าบิ๊กดาต้านี้จะไม่ทำให้เกิดคุณเกิดโทษกับคนใดคนหนึ่งในวันหน้า

ถ้ายังไม่มีการกำหนดสิทธิในการลบล้างข้อมูลส่วนตัว การที่ข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคน ในแต่ละมิติกระจายไปอยู่คนละที่ อาจจะดีกว่าการบูรณาการข้อมูลของคนใดคนหนึ่งจากหลากหลายมิติ ที่ทำให้มีการรับรู้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ครอบคลุมหลายมิติมากเกินไป จนอาจทำให้เกิดอคติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับคนนั้น ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติกับคนใดคนหนึ่งจากอคติที่เกิดขึ้นจากการได้รับรู้ข้อมูลส่วนบุคคลเกินกว่าที่ควรจะรู้

ทุกคนหล่อ ทุกคนสวยหมด หากข้อมูลรูปลักษณ์บางอย่างไม่ปรากฏต่อสาธารณะ ในทางตรงข้ามทุกคนหล่อไม่จริง สวยไม่จริง หากทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนนั้นกลายเป็นข้อมูลสาธารณะ หากคนดูแลบ้านเมืองจะใช้บิ๊กดาต้ากับคนในบ้านเมืองนั้น ต้องให้สิทธิในการลบล้างข้อมูลส่วนตัวคู่กันไปด้วย ไม่งั้นอคติจะแพร่กระจายไปทั่วสารพัดทิศ