โอกาสอันยิ่งใหญ่ของ...หุ้นยุโรปขนาดกลางและเล็ก

โอกาสอันยิ่งใหญ่ของ...หุ้นยุโรปขนาดกลางและเล็ก

โอกาสอันยิ่งใหญ่ของ...หุ้นยุโรปขนาดกลางและเล็ก

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมือง การปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินจากผ่อนคลายน้อยลง และทิศทางการแข็งค่าของค่าเงินยูโร แต่เศรษฐกิจยุโรปในปี 2560 กลับแจ่มใสที่สุดในรอบหลายปี การส่งออกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งแม้ค่าเงินจะแข็งค่า เพราะความต้องการสินค้าและบริการทั่วโลกที่ฟื้นตัว ส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้นตาม การจ้างงานก็เพิ่มขึ้นทำให้กำลังซื้อภายในประเทศขยายตัวดีต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นในโมเมนตัมนี้ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปี 2561 สู่ 2.3% และ 1.5% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นๆ หุ้นยุโรปดูจะเชื่องช้า และยังคงเป็น Laggard อยู่ โดยดัขนี Euro STOXX 600 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ -2.6% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ 4.1% ของตลาดหุ้นสหรัฐฯที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วเช่นเดียวกัน

เราจึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนหุ้นยุโรปในช่วงที่ตลาดยังไม่วิ่งไปไหนไกล แต่กลยุทธ์ในการเลือกลงทุนก็มีความสำคัญ เพราะ ในปีนี้ตลาดหุ้น และอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกจะผันผวนสูงกว่าปีที่แล้ว สำหรับภูมิภาคยุโรป ท่านนักลงทุนควรแสวงหากลยุทธ์ที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป ขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบจากแรงกดดันของค่าเงิน โดยหลีกเลี่ยงหุ้นยุโรปในกลุ่มส่งออกที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของปธน.ทรัมป์ที่ประกาศออกมาล่าสุด และหันมาโฟกัสที่หุ้นของบริษัทขนาดกลาง และเล็ก ซึ่งหมายถึงบริษัทจดทะเบียนในยุโรปที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ดี เมื่อเราพูดถึงหุ้นขนาดกลางและเล็ก ท่านนักลงทุนส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทยอาจนึกภาพถึงดัชนี MAI แต่คำจำกัดความของหุ้นขนาดกลางและเล็กระหว่างไทยกับยุโรปนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่าย และคุณสมบัติตรงตามดัชนี MAI ต้องมีมูลค่าตามราคาตลาดไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่ผู้จัดการกองทุนในยุโรปใช้จำกัดความหุ้นขนาดกลางและเล็กของเขากว่า 300 เท่าเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะความแตกต่างของขนาดตลาดหุ้นที่ชัดเจน โดยมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบันของดัขนี SET ไทยเราที่ 5.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของดัชนี Euro STOXX 600 ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบันสูงถึง 12.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับปัจจัยสนับสนุนหลักของการลงทุนในหุ้นยุโรปขนาดกลางและเล็ก คือ รายได้ทั้งหมดหรือรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทดังกล่าวจะมาจากในภูมิภาคยุโรปเอง โดยมักเน้นไปที่การบริโภคภายในเป็นหลักซึ่งจะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากเศรษฐกิจที่เติบโตดีและค่าเงินยูโรที่แข็งค่า โดยในสภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีต่อเนื่อง กำไรของบริษัทเหล่านี้จะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากการคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2561 ของบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็กที่คาดว่าจะเติบโตกว่า 15% เทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะขยายตัว 8%

นอกจากนี้ หุ้นของบริษัทขนาดกลางและเล็กมักจะถูกมองข้ามจากนักลงทุนเพราะมีจำนวนนักวิเคราะห์คอยติดตามผลประกอบการ และประเมินมูลค่าน้อยกว่าหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ นักลงทุนจึงขาดข้อมูลและบทวิเคราะห์ที่ดี

ดังนั้น บ่อยครั้งที่ราคาตลาดของหุ้นบริษัทขนาดเล็กต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ปัจจัยบวกสุดท้ายที่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของหุ้นขนาดกลางและเล็ก คือ โอกาสในการควบรวมกิจการ เพราะบริษัทเหล่านี้มักเป็นเป้าหมายของบริษัทขนาดใหญ่ต้องการขยายขนาดของธุรกิจอย่างรวดเร็ว และส่วนใหญ่การเข้าครอบครองหรือควบรวมกิจการมักมีการจ่ายราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ณ ปัจจุบัน ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทเป้าหมายสูงขึ้น

โอกาสอันยิ่งใหญ่ของ...หุ้นยุโรปขนาดกลางและเล็ก