ทำไมการแก้รัฐธรรมนูญจีนจึงสำคัญ ?

ทำไมการแก้รัฐธรรมนูญจีนจึงสำคัญ ?

เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เมื่อสภาประชาชนจีนจีนมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้สีจิ้นผิงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

โดยไม่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง (แต่เดิมจำกัดที่ 10 ปี)

แต่จริงๆ นอกจากเรื่องนี้แล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญจีนในครั้งนี้ ยังมีการแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญในเรื่องใหญ่อีก 3 เรื่อง ซึ่งล้วนมีความสำคัญ และสะท้อนทิศทางการเมืองจีนอย่างน่าจับตามองครับ

เรื่องแรก คือ การแก้ไขมาตราแรกของรัฐธรรมนูญจีน เพิ่มเติมข้อความว่า ลักษณะพื้นฐานของสังคมนิยมอันมีเอกลักษณ์แบบจีน คือการนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์

ทราบไหมครับว่า ก่อนหน้านี้ รัฐธรรมจีนพูดถึงการนำของพรรคคอมมิวนิสต์ไว้แค่ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ แต่เนื้อหามาตราต่างๆ ของรัฐธรรมนูญไม่มีตรงไหนกล่าวถึงพรรคคอมมิวนิสต์เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง ได้พยายามปฏิรูปโดยการแยกพรรคคอมมิวนิสต์ออกจากองค์กรทางการของรัฐ เวลาผู้นำจีนติดต่อกับโลกตะวันตก ก็จะได้ไม่ขัดเขิน สามารถใช้สถานะประธานาธิบดี นายกฯ หรือผู้นำองค์กรรัฐ ไม่ใช่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์

ในสมัยก่อน นักกฎหมายหัวก้าวหน้าของจีน ยังมักตีความว่า การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นการนำอย่างไม่เป็นทางการ เพราะอารัมภบทของรัฐธรรมนูญไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย

แต่ในครั้งนี้ สีจิ้นผิงได้แก้ไขให้ชัดเจนไปเลยในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดในมาตราแรกเลยว่า องค์กรทุกองค์กรอยู่ภายใต้การนำของพรรค นับว่าสวนทางกับแนวปฏิรูปเก่าของเติ้งเสี่ยวผิง สีจิ้นผิงเปลี่ยนมาเน้นให้พรรคคอมมิวนิสต์กลับเข้ามามีบทบาทนำที่ชัดเจน

เรื่องที่ คือ บรรจุ "ความคิดสีจิ้นผิงว่าด้วยสังคมนิยมอันมีเอกลักษณ์แบบจีนสำหรับยุคใหม่ไว้ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ เรียงต่อจากความคิดเหมาเจ๋อตง ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง แนวคิด 3 ตัวแทน (ของอดีตประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมิน) และทัศนะการพัฒนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (ของอดีตประธานาธิบดีหูจินเทา)

เรื่องนี้สะท้อนอำนาจและอิทธิพลอันมหาศาลของสีจิ้นผิง เพราะผู้นำในอดีตทุกคน (ยกเว้นเหมาเจ๋อตง) จะได้รับเกียรติบรรจุความคิดไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ต่อเมื่อลงจากตำแหน่งแล้ว (อย่างทัศนะของหูจินเทา ก็เพิ่งได้รับการบรรจุพร้อมกับความคิดสีจิ้นผิงในครั้งนี้เอง)

ในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ ยังมีการแก้ไขเนื้อหาให้สอดคล้องกับ “ความคิดสีจิ้นผิง” ด้วย โดยตั้งเป้าให้จีนมุ่งมั่นพัฒนาเป็น “ประเทศสังคมนิยมมหาอำนาจสมัยใหม่ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่ เลิศวัฒนธรรม สมานฉันท์ และสวยงาม” (ยาวมาก!!)

เป้าหมายการพัฒนาจีนของสีจิ้นผิงนั้น แตกต่างจากคำที่ผู้นำคนก่อนๆ เคยใช้โดยเพิ่มคำใหม่มา คำ คือ คำว่า “มหาอำนาจ” และ “สวยงาม” คำว่า“มหาอำนาจ” สะท้อนว่า สีจิ้นผิงต้องการให้จีนก้าวขึ้นมาเล่นบทบาทนำมากขึ้นในเวทีโลก และสร้างความภาคภูมิใจและปลุกกระแสชาตินิยมว่าจีนได้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ส่วนคำว่า “สวยงาม” ต้องการบอกกับประชาชนว่า เขาเข้าใจความกังวลและเสียงไม่พอใจปัญหาสิ่งแวดล้อมในจีนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และต้องการสร้างจีนใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เรื่องที่ คือ มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรใหม่ คือองค์กรปราบคอร์รัปชัน โดยมีสถานะเทียบเท่ากับ ครม. ศาล และอัยการ

ก่อนหน้านี้ การปราบปรามคอร์รัปชันครั้งมโหฬารของสีจิ้นผิงใช้กลไกหน่วยวินัยพรรคเป็นหลัก แต่องค์กรใหม่จะมีอำนาจตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมด ไม่ใช่แต่เฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์

การปราบคอร์รัปชันของสีจิ้นผิง เรียกว่ายิงนัดเดียวได้นกสองตัว คือ ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชน และยังใช้เป็นเครื่องมือปราบศัตรูทางการเมืองได้อีกด้วย

รายละเอียดขององค์กรใหม่ ต้องรอดูการออกกฎหมายจัดตั้งองค์กรปราบคอร์รัปชัน ซึ่งมีกำหนดจะเข้าพิจารณาในสภาประชาชนในวันที่ 20 มี.ค.ที่จะถึงนี้ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่า องค์กรดังกล่าวจะมีอำนาจมหาศาลเพียงใด และในการดำเนินการปราบปรามคอร์รัปชัน จะมีการคุ้มครองสิทธิในการต่อสู้คดีของผู้ต้องหามากน้อยเพียงใด

เมื่อดูการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 เรื่องใหญ่ รวมเข้ากับการแก้ไขให้สีจิ้นผิงดำรงตำแหน่งโดยไม่จำกัดเวลา ก็สะท้อนชัดเจนถึงอำนาจสูงสุดของสีจิ้นผิงในขณะนี้แต่ข้อสังเกตสำคัญ ก็คือ สีจิ้นผิงเองได้เลือกใช้อำนาจ และวางระบบการรวบอำนาจ ผ่านระบบทางการของรัฐ โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แทนที่จะใช้ระบบที่ไม่เป็นทางการดังการนำของพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต

ดังนั้น นี่จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบันในระยะยาวเลยทีเดียว คนที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และตัวพรรคคอมมิวนิสต์จีนเอง บัดนี้มีอำนาจมหาศาลอย่างไม่เคยมีมาก่อน และเป็นอำนาจในระบบทางการอีกด้วย

ภาษิตฝรั่งบอกว่า อำนาจนำสู่ความเสื่อม อำนาจเต็มที่ยิ่งเสื่อมเต็มที่ จะจริงและใช้กับจีนได้ไหม ต้องรอดูกันยาวๆ ครับ