การกระจายอำนาจคืออนาคตของประเทศไทย

การกระจายอำนาจคืออนาคตของประเทศไทย

พลันที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของตนที่ตั้งใจจะเข้ามาทำการเมือง ในการเลือกตั้งที่หากจะมีขึ้น

ในคราวที่จะถึงนี้ ผลที่ตามมามีทั้งการตอบรับอย่างมากมายและแน่นอนว่า ย่อมมีเสียงที่ไม่เห็นด้วยตามมาเช่นกัน แต่ประเด็นที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือในเรื่องที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ซึ่งตรงกับแนวทางการขับเคลื่อนของผมและคณะมาโดยตลอด ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่าการกระจายอำนาจจะถูกสานต่อหลังจากที่เรียกได้ว่าถูกทำให้หยุดอยู่กับที่มาเกือบ 4 ปี

อันที่จริงแล้วกระแสการขับเคลื่อนของการกระจายอำนาจของไทยมีมาโดยตลอดตั้งแต่อดีต การขับเคลื่อนเพื่อการกระจายอำนาจที่เห็นเป็นรูปธรรมนับตั้งแต่ 30-40 กว่าปีก่อนที่ไกรสร ตันติพงศ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.เชียงใหม่ ได้เสนอแนวความคิดที่จะให้เชียงใหม่มีกฎหมายเป็นของตนเอง แต่พอไกรสร ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรม ความคิดดังกล่าวก็เลือนหายไป ตามมาด้วยถวิล ไพรสณฑ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และอาจารย์ธเนศวร์ เจริญเมือง ก็ออกมารณรงค์ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง

ที่เกือบจะเป็นมรรคผลก็ตอนที่พรรคพลังธรรมของพล..จำลอง ศรีเมือง เสนอต่อพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคประชาธิปัตย์โดยมีชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ให้แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ แต่ก็ถูกต่อรองจนต้องแก้เป็นว่า “ในจังหวัดที่มีความพร้อม” ซึ่งก็ยังไม่บังเกิดผลอันใดเลยจวบจนปัจจุบัน เพราะพวกที่ยังหวงอำนาจต่างก็อ้างว่า “ยังไม่พร้อมๆๆๆ” เว้นแต่กรุงเทพมหานครซึ่งดำเนินการไปก่อนแล้วโดยไม่เกี่ยวกับข้อเสนอที่ว่านี้

จุดเปลี่ยนสำคัญคือปี 2552 ได้เกิดวิกฤติทางการเมืองว่าด้วยเหลืองแดงจนเกิดการรวมตัวของเหลืองและแดงขึ้นมา เพื่อแก้ไขวิกฤติของเชียงใหม่ที่เกิดการปะทะกันจนทำให้เศรษฐกิจของเชียงใหม่แทบจะพังพินาศ โดยร่วมกันวิเคราะห์เหตุของปัญหาว่าเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจการเมืองการปกครองและการตัดสินใจไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้ท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในแก้ไขปัญหาของตนเอง จึงได้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามเวทีต่างๆ อยู่เสมอ จวบจนเดือนม.ค.2554 จึงได้มีการยกร่าง พ...ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานครฯ ขึ้นมา โดยมีหลักการที่สำคัญ คือ

1. ยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค เหลือเพียงราชการส่วนกลาง และราชการส่วนท้องถิ่นเต็มพื้นที่ โดยราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการกำหนดแนวนโยบาย ระเบียบ ข้อบัญญัติ การจัดงบประมาณ การคลัง การจัดการบริหารบุคลากร ได้ครอบคลุมทุกเรื่องยกเว้น 4 เรื่องหลัก คือ การทหาร ระบบเงินตรา การศาลและการต่างประเทศ 

โดยแบ่งการปกครองเป็น 2 ระดับ (two tiers) แบบญี่ปุ่น คือ ระดับบน (เชียงใหม่มหานคร) และระดับล่าง (เทศบาล) ทำให้สามารถดูแลครอบคลุมเต็มพื้นที่โดยทั้ง 2 ระดับมีการบริหารที่อิสระต่อกันเป็นลักษณะการแบ่งหน้าที่การทำงานให้ชัดเจน

2. ทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรม จริยธรรม ทำให้ระบบการตรวจสอบ มีความเข้มแข็ง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการสร้างดุลยภาพ 3 ส่วน คือ ผู้ว่าราชการเชียงใหม่มหานคร สภาเชียงใหม่มหานคร และสภาพลเมือง(civil juries หรือ citizen juries) ซึ่งล่าสุดก็ได้มีการประชุมสภาพลเมืองเชียงใหม่เมื่อ 11 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมา ในรูปแบบของการประชุมเมือง(town meeting) ที่ใช้ในแถบ New England และในหลายพื้นที่ของสหรัฐ

ซึ่งหลักการนี้รวมถึงการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถใช้อำนาจโดยตรงในการกำหนดทิศทางการพัฒนา ตรวจสอบการทำงานหน่วยงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกระดับ และเข้าถึงการใช้งบประมาณ ผ่านกระบวนการกลไกต่างๆ เช่น สภาพลเมือง การไต่สวนสาธารณะ กรรมาธิการด้านต่างๆ เช่น การศึกษา เกษตร ฯลฯ

3. การปรับโครงสร้างด้านภาษี โดยภาษีทุกชนิดที่เก็บได้ในพื้นที่ จะส่งคืนรัฐบาลส่วนกลาง 30% และคงไว้ที่จังหวัด 70% กอปรกับการที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ(คปร.)ที่มี อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานได้สรุปไว้เมื่อ 18 เม.ย. 2554 ว่าหากจะปฏิรูปประเทศไทยให้สำเร็จต้องยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคและปฏิรูปการจัดการเกี่ยวกับที่ดิน กระแสการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคจึงได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง แต่น่าเสียดายที่กระแสการปฏิรูปที่ดินกลับไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร

หลังจากนั้นจังหวัดต่างๆ นับได้ 50 กว่าจังหวัด ได้มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาทิ ปัตตานีมหานคร ระยองมหานคร ภูเก็ตมหานคร ฯลฯ และในที่สุดคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.)ได้เคยมีการแนวความคิดที่จะเสนอร่าง พ.ร.บ.จังหวัดปกครองตนเองฯ เพื่อที่จะใช้เป็นกฎหมายกลางสำหรับทุกๆ จังหวัดที่จะได้ไม่ต้องไประดมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายแบบที่ จ.เชียงใหม่ได้ดำเนินการมาจนมีการยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วเมื่อ 26 ต.ค.2556 โดยมีรองประธานสภาฯไปรับด้วยตนเองถึงที่จ.เชียงใหม่ 

แต่น่าเสียดายที่มีการยุบสภาแล้วก็ตามมาด้วยการยึดสภาเมื่อ 22 พ.ค.2557 ทำให้ร่างพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานครฯ ตกไปโดยปริยาย รอการรื้อฟื้นเพื่อเสนอเข้าไปใหม่อีกครั้งหนึ่งซึ่งก็คงต้องมีการปรับปรุงให้ทันต่อยุคสมัยต่อไป

การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจในระดับบนมีข้อถกเถียงไม่เป็นข้อยุติ ไม่ว่าจะเป็นสภาเดียวหรือ 2 สภา มีองค์กรอิสระดีหรือไม่ดี ฯลฯ ยากที่จะเห็นพ้องร่วมกันได้ง่าย แต่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจนั้นทุกสีทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันเพราะเป็นสิทธิพื้นฐานในการจัดการเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง(Self Determination Rights) ที่ทั่วโลกและสหประชาชาติให้การรับรอง

การกระจายอำนาจจะเป็นคำตอบของการปรองดองและสมานฉันท์ เพราะทุกฝ่ายทุกสีมีผลประโยชน์ร่วมกัน การริเริ่มของกระบวนขับเคลื่อนเชียงใหม่มหานครหรือเชียงใหม่จัดการตนเองจนล่าสุด คือจังหวัดปกครองตนเองนั้นได้เป็นตัวอย่างที่สถาบันการศึกษา สถาบันที่ทำงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ฯลฯ ได้นำไปศึกษากันอย่างกว้างขวาง และมีผู้ศึกษาวิจัยได้ลงพื้นที่มาสัมภาษณ์สอบถามกันอยู่อย่างต่อเนื่อง

จะช้าหรือเร็ว จะมากหรือน้อยการกระจายอำนาจต้องเกิดขึ้น และหากจะต้องการให้ประเทศไทยมีอนาคตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงจะต้องมีการลดอำนาจส่วนกลางแล้วกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพราะไม่มีประเทศใดที่ประชาธิปไตยในระดับชาติเข้มแข็ง โดยปราศจากการปกครองท้องถิ่นที่เข้มแข็ง(no state without city)หรอกครับ