การนำเอาไอทีมาใช้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับตัวของธนาคาร
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจทุกวันนี้แม้เพียง 1 เดือน อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทที่ก่อตั้งมาแล้วเป็นนานนับ 10 ปี ก็สามารรถเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับบางบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่ถึง 10 ปีก็อาจสร้างผลกระทบในวงกว้างได้มากกว่าบริษัทที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปีได้เช่นกัน
นักธุรกิจ หรือนักบริหารในทุกวันนี้ จึงต้องรวดเร็ว และว่องไวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ในทุกๆเวลา นอกจากนี้ ยังต้องมองให้ออกว่า ในแต่ละอาทิตย์ที่ผ่านไปมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม และมีอะไรบ้างที่อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของเราทั้งในวันนี้ และในอนาคต เพื่อนักธุรกิจหรือนักบริหารมืออืาชีพ จะได้วางแผนรับมือกับต่อการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที นอกจากนี้ ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้บริหารก็ต้องรู้สภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมและประเทศในภาพรวม เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่องค์กรของเราจะเติบโตได้อย่างมั่นคงแข็งในในสภาวะที่ประเทศชาติอ่อนแอ หากภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศไม่ดี ก็มีความเสี่ยงที่เราก็มีโอกาสที่จะสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้เกิดขึ้นได้ยากมาก
อย่างไรก็ดี มีดัชนีหนึ่งตัวที่พอจะใช้ชี้วัดภาพรวมของธุรกิจภายในประเทศว่าจะไปในทิศทางไหนได้ นั่นก็คืออัตราการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ซึ่งเป็นข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง โดยจะสรุปผลเป็นรายงานทุกปี จึงจะเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นสถานะของธุรกิจในประเทศไทยโดยรวม
ทั้งนี้ รายงานละเอียดของข้อมูลมากมาย ที่บอกให้รู้ว่าในรอบปีที่ผ่านมา มีสินเชื่อจำนวนเท่าไร ประเภทใดบ้าง และมีสถานะเป็นอย่างไร โดยจำนวนสินเชื่อ NPLจะทำให้เรามองเห็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้ไม่ยาก เพราะเมื่ออัตรา NPL อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ ธนาคารก็จะดำเนินธุรกิจตามปกติ โดยไม่เข้มงวดกับการพิจารณาสินเชื่อมากนัก ส่งผลให้ภาคธุรกิจมีน้ำหล่อเลี้ยงได้อย่างไม่ติดขัด มีเฒ้ดเงินสะพัดเข้ามาในอุตสาหกรรมมากขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางธุรกิจจึงเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่มีสะดุด เงินหมุนในระบบได้อย่างต่อเนื่อง
แต่หากอัตรา NPL มีอัตราที่พุ่งสูงขึ้น ธนาคาร หรือสถาบันทางการเงินต่างๆ ก็ย่อมต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้มีอัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งนั่นก็จะทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีเม็ดเงินอัดฉีดในระบบลดต่ำลง และสภาพคล่องของประเทศก็ลดน้อยลงตามลงไปโดยปริยาย
สำหรับสถานการณ์ในปี 2560 ที่ผ่านมา จากรายงานเราจะเห็นว่าหลายๆธนาคารมี NPL เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่าธนาคารขนาดเล็ก ส่งผลให้มีแนวโน้มที่แต่ละธนาคาร จะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงเป็นเรื่องปกติที่เราพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว เพราะตัวเลข NPL ดังกล่าว ธนาคารมีรายละเอียดครบถ้วนทั้งหมดจึ งรู้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคใด และอยู่ในอุตสาหกรรมใด หรือธุรกิจใดก็ตาม ฯลฯ
ดังนั้น การให้สินเชื่อในอุตสาหกรรมดังกล่าว หรือในภูมิภาคที่มีอัตราสินเชื่อ NPL สูงจึงต้องใช้ความรัดกุมเป็นพิเศษ หลาย ๆ ธุรกิจจึงขอกู้ได้ยากขึ้น ได้วงเงินน้อยลง หรือได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเดิม จนอาจทำให้ธุรกิจต้องชะลอตัวลง
แนวโน้มดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารหลาย ๆ แห่งที่เน้นการทำงานเชิงรุก ด้วยการนำเอาใช้ไอทีขับเคลื่อนองค์กร เพื่อลดต้นทุน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน เพราะเล็งเห็นแล้วว่า บทบาทของธนาคารต่อระบบเศรษฐกิจ จะเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล เนื่องจากค่าธรรมที่เคยเป็นรายได้สำคัญของธนาคาร เริ่มถูกท้าทายด้วยการก้าวเข้ามาของรูปแบบบริษัทฟินเทคสมัยใหม่ ที่ทำให้การจ่ายผ่านระบบเงินออนไลน์ ธุรกรรมหลายอย่างทำได้โดยไม่ต้องมีธนาคารเป็นตัวกลางอีกต่อไป หรือแม้กระทั่งพร้อมเพย์ของภาครัฐเอง ก็เปิดให้บริการโอนเงินกับประชาชนฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ซึ่งนี่เอง ถือเป็นการปรับตัวของธนาคารจึงเป็นย่างก้าวสำคัญที่เราต้องจับตาดูกันต่อไป