สังคมมะกันเพี้ยนหนัก เพราะสิทธิมีอาวุธปืน
หนีไม่พ้นว่าพอเกิดเรื่องการยิงกราดสังหารหมู่โรงเรียนมัธยมที่ฟลอริดา ล่าสุดก็เกิดคำถามว่าอเมริกาเป็นสังคมเพี้ยนได้ขนาดนี้เลยหรือ
เพียงแค่ 45 วันตั้งแต่วันแรกของปีใหม่นี้ ไฉนจึงมีการยิงกราดอย่างนี้กว่า 10 ครั้ง
สาเหตุมีสองประการสำคัญ กฎหมายที่เปิดทางให้คนมะกันซื้อปืนได้ง่ายดาย และ สภาวะจิตของคนมะกันที่ย่ำแย่ลงจนถึงขั้นที่ควบคุมไม่ได้
คนอเมริกันจำนวนมากเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอกฎหมายควบคุมเรื่องการซื้อหาและพกอาวุธอย่างจริงจัง
แต่ทรัมป์ก็ไม่ทำอะไรในเรื่องนี้ แม้ในคำแสดงความเสียใจล่าสุดต่อกรณีโรงเรียนมัธยมที่ฟลอริดา เขาก็เพียงขอแสดงความเศร้าสลด แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องปืนแต่อย่างไร
ขณะที่กลุ่มคนอเมริกันที่ยังเชื่อใน Second Amendment หรือข้อแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ที่ยืนยันในสิทธิพื้นฐานของคนอเมริกันในการมีอาวุธปืน เพื่อป้องกันตัวเอง ก็ยังยืนกรานในข้ออ้างที่ว่า ถ้าคนดีไม่มีปืนก็เท่ากับเปิดทางให้โจรฆ่าคนไร้เดียงสาได้
ปืนไม่ฆ่าคน คนต่างหากที่ฆ่าคน ดังนั้นต้องแก้ปัญหาสภาพจิตของคน มิใช่พยายามจะจำกัดสิทธิของประชาชนที่จะเป็นเจ้าของปืน
แต่ก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าสังคมอเมริกันมีปืนต่อหัวมากที่สุดในโลก ตามสถิติทางการ อเมริกามีประชากรเท่ากับ 4.4% ของโลก แต่มีอาวุธปืนเท่ากับ 42% ของทั้งโลก
ระหว่างปี 1966 ถึง 2012 สถิติชี้ชัดว่า 31% ของมือปืนที่ยิงกราดใส่คนเพื่อหวังสังหารเป็นอเมริกัน
เยเมนเป็นประเทศที่มีอัตราต่อหัวประชากรที่มีปืนเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐ และเยเมนวันนี้เป็นแดนมิคสัญญี ที่กลายเป็นสังคมแห่งความรุนแรง มีคนตายหลายล้านคนแล้ว
แล้วสาเหตุของความรุนแรงด้วยปืนของอเมริกามาจากปัญหาความไม่ปกติของสภาพจิตของคนหรือไม่
สถิติบอกว่า 4% ของคนอเมริกันที่ตายด้วยความรุนแรงของปืนเท่านั้นที่โยงไปถึงปัญหาโรคจิตไม่ปกติ
การศึกษาเมื่อปี 2015 โครงการหนึ่งสรุปว่าประเทศที่มีอัตราคนฆ่าตัวตายสูงมักจะมีอัตราการกราดยิงต่ำ
ทำให้นักวิจัยสรุปว่าการโยงปัญหาสภาพจิตกับการกราดยิงหมู่ก็อาจจะไม่มีเหตุผลสนับสนุนชัดเจนแต่อย่างไร
อีกคำถามหนึ่งคือที่สังคมอเมริกันมี คนต่างเผ่าพันธุ์ มารวมตัวกันอยู่มากขึ้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการยิงกราดหมู่หรือไม่ คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญที่ทำการวิจัยก็ยืนยันว่าความเชื่อเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับความจริงเช่นกัน
แต่ที่แน่ชัดคือก็คืออัตราของอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการใช้ปืนในสหรัฐนั้นอยู่ที่ 33 ต่อหนึ่งล้านคนในปี 2009
ตัวเลขนี้สูงกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ อย่างชัดเจน
เพราะที่แคนาดา และ อังกฤษ อัตราเดียวกันนี้อยู่ที่ 5 ต่อหนึ่งล้านและ 0.7 ต่อหนึ่งล้านตามลำดับ
และก็สอดคล้องกับอัตราการมีปืนไว้ในครอบครองอีกด้วย
ยิ่งถ้าเทียบกับญี่ปุ่นแล้วยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดแจ้ง
ตามสถิติที่รวบรวมได้ โดยเฉลี่ยแล้วคนอเมริกันมีโอกาสที่จะตายด้วยอาวุธปืนไม่ว่าจะเกี่ยวกับอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุมากกว่าคนญี่ปุ่นถึง 300 เท่า!
อัตราความเป็นเจ้าของปืนของคนอเมริกันสูงกว่าญี่ปุ่น 150 เท่า!
เหตุร้ายที่โรงเรียนฟลอริดาจะทำให้คนอเมริกันทั้งประเทศลุกขึ้นมากดดันให้รัฐบาลและ ส.ส. กับ ส.ว. ของเขาทำอะไรอย่างจริงจัง เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายอาวุธปืนหรือไม่ คงได้รู้กันในไม่ช้า
เพราะจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และหากผู้สมัครคนไหนไม่มีข้อเสนอเรื่องนี้มาให้ประชาชนก็จะมีโอกาสสอบตกไม่น้อย!