พลังอำนาจด้านการทหารของอินเดีย

พลังอำนาจด้านการทหารของอินเดีย

อินเดียกำลังแสวงประโยชน์จากการที่โลกของมหาสมุทรอินเดีย กับมหาสมุทรแปซิฟิกกระชับแนบแน่นกันมากขึ้น เคลื่อนตัวเข้ามามีบทบาทกับอาเซียนมากขึ้น

ดังความตกลงที่เห็นอยู่ในการประชุมอาเซียน-อินเดีย ที่พึ่งผ่านไป

ประเด็นความมั่นคงทางทะเลเป็นสิ่งที่กองทัพอินเดียสามารถคืบคลานเข้ามาเกาะเกี่ยวตั้งแต่ระดับของการร่วมฝึกศึกษา ไปจนถึงขอเอี่ยวแก้ปัญหาพิพาทในอนาคต ขณะที่โลกจับตา “ศตวรรษของเอเชีย” ที่จีนง้างกรงเล็บยาวมาจากทางตะวันออก อินเดียก็เสยงาโค้งมาจากฟากตะวันตกพร้อมบรรจบด้วย

กองทัพอินเดียเป็นเครื่องมือสำคัญของการธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศ มีสถานะอันน่าเกรงขาม ซึ่งเมื่อปี 2560 สำนักวิเคราะห์ Globalfirepower จัดให้เป็น กองทัพอันดับ 4 ของโลก จากกำลังพลรวมทั้งหมดประมาณ 4.2 ล้านคน กำลังประจำการมีถึง 1.3 ล้านคน เป็นรองเพียงสหรัฐ รัสเซีย และจีน อยู่เหนือกว่าทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษ ที่ได้อันดับ 5 และ 6 ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 20 

กำลังพลของกองทัพอินเดียส่วนใหญ่ เป็นกำลังทางบกประจันหน้ากับปากีสถาน และ จีน บริเวณพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศ 

สงครามครั้งล่าสุดกับปากีสถานเกิดขึ้นเมื่อปี 2542 และกับจีนเกิดขึ้นเมื่อปี 2505 แม้จนทุกวันนี้ ยังมีข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อน และการรุกล้ำข้ามแดนกันอยู่อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ทหารยังช่วยเหลือตำรวจในการสู้รบกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนลัทธิเหมาในพื้นที่ภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือด้วย

งบประมาณด้านกลาโหมของอินเดียในปี 2560 มี 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ กองทัพอากาศอินเดีย มีเครื่องบินประจำการมากถึง 2,102 เครื่อง ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินขับไล่ 676 เครื่องและ เครื่องบินโจมตี 809 เครื่อง ส่วนใหญ่จัดหาจากรัสเซีย และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเครื่องบินรบ Su ด้วย

กองทัพบกมีรถถัง 4,426 คัน ยานเกราะ 6,704 คัน ปืนใหญ่ และจรวดประมาณ 7,500 กระบอก/ลำ อินเดียต้องทำสงครามในพื้นที่ป่าภูเขาทางตอนเหนือ จึงมีความชำนาญด้านนี้ สามารถผลิตรถถังและปืนใหญ่จำนวนหนึ่งได้เอง เช่น T-90 รุ่น Bhishma หรือรุ่น Abhay ขณะที่จรวดพิสัยใกล้ คือ Brahmos สามารถยิงได้ไกลประมาณ 500 กม.

กองทัพเรือมีนาวาประจำการ 295 ลำ เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ ต่อจากรัสเซีย และอยู่ระหว่างการต่อเรือบรรทุกเครื่องบิน Vikrant ด้วยตัวเอง ซึ่งน่าจะประจำการได้ในปี 2565 

นอกจากนี้ยังมีเรือพิฆาต 11 ลำ เรือฟริเกต 14 ลำและเรือคอร์เวต 23 ลำ อินเดียมีอาวุธนิวเคลียร์ประมาณ 150 ตัน มีการทดสอบขีปนาวุธพิสัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ขีปนาวุธเหล่านี้ส่วนหนึ่งสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้

ล่าสุด รุ่น Agni-5 มีพิสัย 8,000 กม. และคาดว่าอยู่ระหว่างการพัฒนารุ่น Suriya พิสัย 16,000 กม.

การที่กองทัพอินเดียไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองทำให้การเมืองอินเดียมีเสถียรภาพพอสมควร ทั้งยังไม่ยุ่งเกี่ยวกับการขยายอำนาจนอกประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน ยกเว้นปากีสถานกับจีน จึงไม่รู้สึกกดดันว่าจะถูกรุกรานจากอินเดีย 

ปัญหาพรมแดนระหว่างอินเดียกับประเทศในเอเชียใต้อื่นมักเป็นปัญหาที่แก้ไขด้วยการเจรจาในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทหาร

กองทัพอินเดียมีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างพลเรือนกับทหาร โดยปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นพลเรือน และในสายที่มิใช่การรบ และเตรียมการกล้าหาญ การยกย่องเชิดชูความกล้าหาญของทหารระดับล่าง จะปรากฏอยู่ทั่วไปในฐานทัพต่างๆ 

ทหารระดับบนจะเน้นเรื่องความสามารถทางวิชาการประยุกต์ สมดังความต้องการที่จะให้ทหารอินเดียเป็น Intellectual Soldier เช่น การคัดเลือกเข้าเรียน วปอ.อินเดีย จะจำกัดเพียงทหารบก 70 นาย ทหารเรือ 6 นาย ทหารอากาศ 12 นาย เท่านั้น ที่เหลือคือทหารต่างชาติ และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่เป็นพลเรือน  

ชาวฮินดูและซิกข์ มีสัดส่วนสูงในการได้รับการคัดเลือก ขณะที่ชาวมุสลิมแทบไม่มีโอกาส

อินเดียเป็นประเทศใหญ่ที่มีการพัฒนายุทโธปกรณ์ของตนเอง ภายใต้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่แข็งแกร่ง มีความร่วมมือกับภาคเอกชนสูง เทคโนโลยีส่วนใหญ่ต่อยอดมาจากรัสเซีย โดยอาศัยสายสัมพันธ์อันดี และการต่อรองการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน 

อินเดียเป็นแหล่งที่ไทยควรพิจารณาหากต้องการจัดหาอาวุธคุณภาพดี ราคาถูก โดยเฉพาะปืนใหญ่สนาม และอาวุธประจำเรือ 

นอกจากนี้โรงเรียนการทหารทุกระดับ ทุกวิชาของอินเดียยังเป็นแหล่งศึกษาทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในอดีตไทยเคยส่งกำลังพลเข้าศึกษามาแล้ว แต่ปัจจุบันไม่ได้ส่งเข้ารับการศึกษาอีก