โอภาปราศรัย

โอภาปราศรัย

สวัสดี ครับ ผมขอรายงานตัวกับคุณผู้อ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ อย่างเป็นทางการ

การกลับมา เขียนคอลัมน์ “แกะรอย” ณ ที่ตรงนี้อีกหน เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ที่คิดว่าหมดโอกาสจะได้กลับมาสู่วงการน้ำหมึก แต่ขอให้โปรดจงรู้ว่า 2-3 ปี ที่หายไป ผมยังรัก และคิดถึงแฟนๆ กรุงเทพธุรกิจ เสมอ

ใช่ครับ เป็น 2-3 ปี ที่กระแสไหลบ่าของคนทำอาชีพสื่อ ภายในเครือเนชั่น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ผมเองได้กลายมาเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสื่อดิจิทัล เช่นกัน

ทว่าทุกสิ่ง ล้วนไม่เที่ยง อย่างที่ปราชญ์โบราณ ว่าไว้ “ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง” (โคลง จากเรื่องลิลิตพระลอ) การที่ผมได้รับโอกาสกลับมาเขียนคอลัมน์อีกครั้ง และหวังว่า จะได้ใช้ประสบการณ์ ความรู้ ที่มีมาเขียนบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ

และอยากให้คุณผู้อ่านกรุงเทพธุรกิจ ได้โปรดเชื่อมั่นในเนชั่น เชื่อมั่นในตัวผู้บริหาร ที่ทุกคนล้วนกรำศึกด้านข่าวมาทั้งสิ้น

ตลอดหลายปีมานี้ แม้ผมจะไม่ได้ทำข่าวหนังสือพิมพ์ แต่การขีดเขียนยังมีอยู่เสมอ และยังคงออกไปทำข่าว ลงพื้นที่หาข่าว รายงานข่าวด้วยตัวเองทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงมีเรื่องเล่าที่ไม่เป็นข่าวเยอะ ซึ่งจะขอใช้เนื้อที่ “คอลัมน์แกะรอย” นี้ มาบอกกล่าว เล่าสู่คุณผู้อ่านทุกวันอังคาร และวันพฤหัสบดี

ถามว่า ผมสนใจเรื่องอะไร ผมตอบเลยว่า ผมสนใจแทบทุกเรื่อง ที่เป็นข่าวโดยเฉพาะเรื่องปากท้องความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ระดับรากหญ้า ที่จ.สุรินทร์ ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด การเอาชีวิตรอดจากวิกฤตสภาวะอากาศ ด้วยศาสตร์พระราชา ที่จ.น่าน และจ.ตาก การหลุดพ้นจากบ่วงหนี้ของนายทุนเงินกู้นอกระบบที่จ.กาฬสินธุ์ การทุจริตในวงราชการ การเบียดบังเอาเงินคนจนผู้ด้อยโอกาส ที่จ.ขอนแก่น เชียงใหม่ บึงกาฬ สุราษฎร์ธานี การทวงคืนพื้นที่สาธารณประโยชน์ ที่นายทุนร่วมกับข้าราชการประจำเบียดบังเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัว ที่จ.กระบี่ จ.พังงา จ.ภูเก็ต การล่าสัตว์ในทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี การล่าหมีที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา

ปัญหาเหล่านี้มันจับต้องได้ มีคนเดือดร้อนเพราะเพียงขาดโอกาส และมีคนที่ร่ำรวยเพราะได้โอกาสที่แลกมากับเงิน

พอหอมปากหอมคอเพียงเท่านี้สำหรับวันแรก วันพฤหัสบดี และวันต่อๆ ไป ค่อยเจาะลึกลงไปทีละเรื่องๆ ครับ