ได้อะไรจากการประชุม WEF ที่ Davos บ้าง

ได้อะไรจากการประชุม WEF ที่ Davos บ้าง

การประชุม World Economic Forum หรือ WEF ที่เมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จบลงแล้ว

ปีนี้ผู้นำทั้งภาครัฐบาล และธุรกิจมาจากยุโรป และสหรัฐ เกือบทั้งหมดจากเอเชีย มีน้อยมาก เท่าที่เห็นมีบ้างจากอินเดีย ไร้เงาดาราระดับแม่เหล็กเช่น สี จิ้นผิงจากจีน ปูตินจากรัสเซีย อาเบะจากญี่ปุ่น ที่มากันครบเมื่อปีที่แล้ว 

เรื่องใหญ่ที่สรุปกัน แต่หาข้อยุติไม่ได้ก็เช่น

1. IMF ประมาณการว่าอัตราการเจริญทางเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเพิ่มสูงเป็น 3.9%

2. Brexit จะยังเป็นปัญหาต่อไป อังกฤษยังแก้ปัญหาไม่ตก ประธานาธิบดีมาครงออกมาพูดว่า เป็นความผิดพลาดของอดีตนายกฯ คาเมรอน ของอังกฤษ ที่จัดทำประชามติ โดยไม่ได้ซาวเสียงประชาชนก่อน และทิ้งท้ายว่า ที่ฝรั่งเศส ถ้าทำประชามติ ก็อาจจะเดินรอยตามอังกฤษได้ แต่เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นง่ายๆ

3. รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นายมนูชิน บอกว่าเงินดอลลาร์อ่อนเป็นเรื่องดีสำหรับสหรัฐ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดตรงกันข้ามบอกว่า เงินดอลลาร์แข็งขึ้นเป็นเรื่องดีสำหรับสหรัฐ แต่สหรัฐต้องการทำธุรกิจแบบแฟร์ๆ ไม่อาเปรียบกัน 

4. สหรัฐจะตั้งกำแพงภาษีเฉพาะสินค้าบางรายการ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ เครื่องซักผ้า โลหะเหล็ก และอลูมิเนียม 

เรื่องแผงโซลาร์เซลล์ กับเครื่องซักผ้านี่ กระทบการส่งออกของจีนกับเกาหลีใต้อย่างมาก รัฐบาลสหรัฐจะส่องสินค้าทุกรายการ และทุกประเทศที่สหรัฐเสียเปรียบการค้าในสินค้าตัวใดก็จะหยิบยกมาพิจารณามาตรการตอบโต้

5. เรื่อง Climate Change ยังไม่มีข้อยุติ แต่ตั้งเป้าพยายามจะยกระดับการกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงอากาศลดลง ขึ้นอีกระดับหนึ่ง

6. บางประเทศในยุโรปตะวันออกกำลังพิจารณาว่าจะออกจากกลุ่ม Euro Zone หรือไม่ โดยเฉพาะโปแลนด์

7. ตอนนี้เงินสดท่วมหลายประเทศ เงินง่ายจาก QE กำลังจะหมดไปเพราะไม่จำเป็น

8. ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมาคิดใหม่เรื่องการถอนตัวจาก NAFTA เพราะทั้งแคนาดา และเม็กซิโกยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง

9. Bill gates วิจารณ์เรื่องงบประมาณของสหรัฐว่าไม่เหมาะสม

10. เรื่องความเท่าเทียมทางเพศยังคงเป็นประเด็น ปัจจุบันผู้บริหารระดับสูงของสถาบันใหญ่ๆเป็นผู้ชาย 80% ผู้หญิงแค่ 20% และค่าตอบแทนผู้หญิงแม้ว่าจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังต่ำกว่าผู้ชาย

11. การออก Bond กำลังต้องพิจารณากันใหม่

12. มหินทรา จากอินเดียบอกว่า ถ้าอินเดียสามารถเก็บภาษีจาก SME ได้ทั่วถึง อินเดียจะเติบโตแบบก้าวกระโดด

13. ญี่ปุ่นยังใช้นโยบาย QE ต่อไป แต่ธนาคารชาติจะต้องมีบทบาทมากขึ้น

14. ธนาคาร Standard Chartered สนใจที่จะขยายการลงทุนในจีนอีกต่อไป เพราะมองเห็นโอกาส

15. South Africa เชื่อว่าสถานการณ์ที่อาฟริกาใต้จะดีขึ้น และไม่มีผลกระทบด้านความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

16. นอร์เวย์กำลังมองหาลู่ทางหารายได้นอกเหนือจากน้ำมัน และการท่องเที่ยว เป็นสิ่งที่นอร์เวย์ให้ความสนใจ

17. รัฐบาลอิตาลีกำลังจับตาแนวคิดประชานิยม (Populism) ว่าจะสร้างความเสี่ยงขนาดไหน

18. นายกฯ เมย์ ของอังกฤษให้ความมั่นใจเรื่องงานบริการทางการเงิน ที่อังกฤษจะยังมั่นคง

19. Bill Gates วิจารณ์อิทธิพลของสหรัฐ ว่า กำลังถดถอยและมีความเสี่ยงมากขึ้น

20. CEO คนใหม่ของอูเบอร์ให้ความมั่นใจว่าอูเบอร์จะเติบโตต่อไป แม้จะมีการเปลี่ยนผ่าน CEO และจะสร้างผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้น

21. George Soros ออกมาโจมตีประธานาธิบดีทรัมป์ตรงๆ ว่า เป็นเผด็จการไม่เป็นประชาธิปไตย รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เป็นเจ้าตลาด (Monopoly) เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย

22. CEO Blackrock บอกว่าตอนนี้เงินสดไม่อยู่ในตลาดจำนวนมาก และมากเกินไปแล้ว

23. CEO Bridgewater บอกว่า อย่านั่งทับเงินสด เอาเงินออกมาทำงาน

24. CEO Barclays ต้องการให้แก้ไขเรื่องกฎระเบียบทางการเงินการธนาคาร ให้สามารถแข่งขันกันได้มากขึ้น

25. CEO Goldmansachs บอกว่าการปฏิรูปภาษีของสหรัฐเป็นเรื่องดี น่าจะเป็นประโยชน์

26. CEO Credit Swiss บอกว่าธนาคารจะมุ่งที่ Investment Banking มากขึ้น

27. CEO Morgan Stanley มองความสำคัญของตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น

28. CEO JP Morgan เศรษฐกิจกำลังไปได้ดี เพราะมีแรงเหวี่ยงที่เป็น momentum

29. Christian Lagards ผู้อำนวยการใหญ่ IMF ทำนายว่า เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่อเนื่องทั้งโลก

30. ผู้ว่าการธนาคารฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับความนิ่งของราคาสินค้า (Price Stability)

31. CEO Citibank ยังคงมีการโต้แย้งว่าระหว่างเงินอ่อนกับเงินแข็งของสหรัฐ และ

32. CEO British Petroleum บอกว่าถึงแม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศนโยบายกำแพงภาษีพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ก็จะเดินหน้าต่อไป

เอาแค่ที่จำๆจดๆจากการฟังการประชุมที่ Davos รายละเอียดคงต้องไปหาอ่านกันที่อื่นครับ