ฤา งานนี้... “บิทคอยน์” จะตายแน่
ท่ามกลางกระแสการห้ามปรามจากหลายหน่วยงานในหลายประเทศ ที่ออกหนังสือเตือนห้ามปรามประชาชนให้หลีกเลี่ยงการลงทุนใน “บิทคอยน์”
และ “เงินสกุลดิจิทัล(Cryptocurrency)” อย่างเข้มข้น และเหตุการณ์ที่คุกคามเงินสกุลดิจิทัลอีกหลายเหตุการณ์ ก็ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์ และเงินสกุลดิจิทัลอื่นๆ มีราคาดำดิ่งตกลงอย่างรุนแรง
เช่น ราคาบิทคอยน์ที่เคยพุ่งไปเกือบ 20,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ก็ตกลงมาต่ำกว่า 6,000 ดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนหลายต่อหลายคนพากันคิดกันว่า งานนี้ “บิทคอยน์” และบรรดาญาติมิตร...เงินสกุลดิจิทัลอื่นๆ จะพากันตกตายไปตามกันหรือไม่
ผมจึงอยากเล่าเรื่องชะตากรรมของบิทคอยน์และพวกพ้องว่าอนาคตจะไปรอดหรือไม่ ดังนี้ครับ
- ก.ย. 2560 “จีน” บดขยี้เงินสกุลดิจิทัลจนเกือบจะสิ้นซาก
ต้นเดือนจีนออกประกาศสั่งห้ามการระดมทุนของเงินสกุลดิจิทัลใหม่ๆ (ICO) ทั้งหมด พอมาถึงปลายเดือน จีนก็ประกาศปิดเว็บไซต์แลกเปลี่ยนบิทคอยน์ และเงินสกุลดิจิทัลทั้งหมดทั่วประเทศอย่างสิ้นซาก ทำให้นักลงทุนจีนแห่แหนไปซื้อเงินสกุลดิจิทัลกันในต่างประเทศ และยังทำให้บริษัทแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลของจีนย้ายไปต่างประเทศ และรับการเทรดเป็นเงินคริปโตกับเงินคริปโต (Crypto – Crypto Exchange) ด้วยกันเท่านั้น
เว็บไซต์แลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลของจีนทุกวันนี้ก็รุ่งเรืองกันจนติดระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น www.binance.com, www.huobi.com เป็นต้น
- ม.ค.2561 อีกหนึ่งในประเทศที่เห็นความพยายามในการจัดการกับเงินสกุลดิจิทัลขั้นเด็ดขาดก็คือ เกาหลีใต้
ทางการเกาหลีใต้ออกกฎห้ามระดมทุนเงินสกุลดิจิทัล(ICO) อย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับจีน ต่อมาเกาหลีใต้ก็เริ่มเข้าตรวจสอบบรรดาบริษัทแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลอย่างเข้มข้น และรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมก็ออกมาพูดว่า กำลังจะออกกฎหมายห้ามการซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลอย่างถาวร
เท่านั้นเอง ก็งานเข้า
โซเชียลมีเดียของเกาหลีใต้ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์แบบสับเละ และมีประชาชนมากกว่าแสนคนออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างเอิกเกริก
หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง สำนักประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ก็ต้องออกมาให้ข่าวว่า สิ่งที่รัฐมนตรียุติธรรมออกมาพูดว่าจะสั่งปิดบริษัทแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลนั้น เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
ปัจจุบันเกาหลีใต้จึงยังไม่กล้าสั่งปิดบรรดาบริษัทรับซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล
- 1 ก.พ.2561 นายอรุณ เจ็ตลีย์ รัฐมนตรีการคลังของอินเดียก็ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า “รัฐบาลไม่ได้พิจารณาให้เงินสกุลดิจิทัลสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และรัฐบาลก็จะใช้ทุกมาตรการที่จะกำจัดเงินสกุลดิจิทัลที่จะนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย”
คำพูดที่กำกวมดังกล่าวของนายอรุณ ก็ถูกนำไปตีความว่า อินเดียจะมีการสั่งปิดบริษัทที่ทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลทุกบริษัท และทำให้ราคาของบิทคอยน์และเงินสกุลดิจิทัลเกือบทุกสกุล จากการประกาศนี้ร่วงไปตามๆกัน
- 2 ก.พ.2561 บรรดาธนาคารใหญ่จากสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะเป็น Bank of America, Citigroup, JP Morgan Chase ตามมาด้วย Lloyds Banking Group จากอังกฤษ ทั้งหมดร่วมมือกันในการบล็อกบัตรเครดิตของตน ไม่ให้สามารถซื้อเงินสกุลดิจิทัลได้ แต่สามารถซื้อผ่านบัตรเดบิตได้
แต่นั่นก็หมายถึงความพยายามที่จะตัดช่องทางในการซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลออกไปเรื่อยๆ
- 5 ก.พ.ที่ผ่านมา จีนเริ่มหันมาใช้มาตรการโหดอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จีนต้องการจะถอนรากถอนโคนการแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลในจีนอย่างถาวร โดยธนาคารกลางจีน (PBOC)
เริ่มจากการห้ามโฆษณาทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับเงินสกุลดิจิทัล ตามมาด้วยการบล็อกไม่ให้ประชาชนจีนเข้าถึงเว็บไซต์แลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลทุกแห่งบนโลกใบนี้
เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ยิ่งส่งผลต่อราคาเงินสกุลดิจิทัลเกือบจะทุกสกุล โดยเฉพาะบิทคอยน์ถูกกระหน่ำเทขายจากระดับที่ต่ำมากแล้วประมาณ 8,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ร่วงลงอย่างรุนแรงสู่ระดับต่ำกว่า 6,000 ดอลลาร์
จนถึงบรรทัดนี้ คุณผู้อ่านหลายท่านคงคิดว่า งานนี้ บิทคอยน์และบรรดาเครือญาติเงินสกุลดิจิทัลต้องถึงอวสานตกตายตามกันไปแน่ๆ จากบรรดา “ข่าวร้าย” ที่ประดังประเดเข้ามาอยู่ในขณะนี้ แต่ในบรรดาข่าวร้ายก็มีข่าวดีอยู่ด้วยเช่นกัน
รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นาย Tharman Shanmugaratnam ออกมาประกาศว่า “จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไรที่จะทำให้...สิงคโปร์ต้องห้ามซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล”
เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2560 ว่า เงินสกุลดิจิทัลสามารถชำระสินค้าได้ถูกต้องตามกฎหมาย (Legal Payment) แต่ก็ไม่ได้ยกฐานะเงินสกุลดิจิทัลให้เป็นเงินสกุลที่ถูกต้องตามกฎหมาย (Legal Currency) จึงไม่แปลกใจว่า บรรดาบริษัทรับซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลจะพากันพาเหรดเข้าไปเปิดสาขาในสองประเทศนี้กันอย่างคึกคัก
ท้ายนี้ ผมเองคิดว่า “เงินสกุลดิจิทัล” คงจะรอดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆในเหตุการณ์ต่างๆในช่วงนี้ไปได้ แม้ว่าจะอยู่ในอาการทุลักทุเลก็ตาม และผมยังคิดต่อไปว่า บรรดาเงินสกุลดิจิทัลจะต้องกลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม และมีมูลค่าตลาดที่สูงกว่าเดิมอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม คุณผู้อ่านที่เป็นนักลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุนด้วยนะครับ โชคดีในการลงทุนนะครับ
หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่www.doctorwe.com