วิธีรับมือกับพี่มาร์ค!

วิธีรับมือกับพี่มาร์ค!

กลายเป็นที่โจษจันอย่างมากมาย ในวงการดิจิทัล เมื่อพี่มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ประกาศเจนจัดชัดเจนว่า

ต่อจากนี้ไป Facebook จะทำการลด Reach หรือ ลดการมองเห็นของ Feed ของเพจต่างๆ ที่ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ Group ลง !

เอาจริงๆ เรื่องนี้ “โซวบักท้ง” กลับรู้สึกนิ่งสนิท เพราะว่า มีหลักฐานยืนยันจากหลายแหล่ง รวมถึงจากประสบการณ์ส่วนตัวด้วยว่า พี่มาร์ค แอบทำการลด Reach ของเพจต่างๆ มาตั้งนานนมแล้ว จาก 100% สมัยแรกเริ่ม แล้วก็ค่อยๆ ลดลงตามลำดับ จนบัจจุบัน คาดการณ์ว่าเหลือไม่ถึง 1%!

เพียงแต่ว่าพี่มาร์ค เพิ่งจะมาตั้งไมค์แถลงการณ์แบบเป็นเรื่องเป็นราว ก็คราวนี้เอง!

เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้ทุ่มงบประมาณ ซื้อ Like อย่างมากมาย หรือ ซื้อไอโฟนมาแจกแฟน เพื่อเพิ่ม Like ก็ขอให้สูดลมหายใจให้ลึกๆ แล้วทำตัวให้ประดุจจิ้งจก คือ ปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป!

ส่วนคนที่ทุ่มงบซื้อ Like ไปเยอะๆ ก็คงต้องทำตัวคล้ายๆกันครับ …. เพียงแต่ตอนสูดลมหายใจลึกๆ ผมอนุญาตให้สูดยาดม ยี่ห้อที่ตัวเองชื่นชอบพร้อมๆ กันไปด้วย เพื่อลดอาการวงเวียนหน้ามืด จะเป็นลม! ซู๊ดดดด

ถามว่าจะต้องปรับตัวยังไงบ้าง กับการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการในครั้งนี้  ไล่เป็นข้อๆ ก็น่าจะประมาณนี้ครับ

๐ กันงบประมาณเพื่อซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊ค ข้อนี้เป็นการแก้เกมที่ตรงประเด็นและตรงใจพี่มาร์คมากที่สุดครับ จริงๆ ถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ถ้าจะคิดทำธุรกิจ ก็น่าจะมีการตั้งงบโฆษณา ประชาสัมพันธ์ขึ้นมาบ้าง  เพราะเป็นหนึ่งใน 4P ของ Marketing Strategies ของปรมาจารย์ Kotler เลยทีเดียว

“A man who stops advertising to save money is like a man, who stops a clock to save time”

๐ ทำคอนเทนท์อย่างพิถีพิถันให้มากขึ้น อาจจะลดจำนวนคอนเทนท์ลง แล้วโฟกัสให้มีคุณภาพมากขึ้นแทน ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ ถ้าคอนเทนท์ไม่ดีจริง ทำไปก็เสียแรงเปล่า เพราะจะไม่มีคนเห็นเลย!

ในทางตรงกันข้ามคอนเทนท์ที่ดีจริง จะนำไปสู่การมีปฎิสัมพันธ์ หรือ การมี Engagement เวลามีคนหยุดอ่าน มีคนกด Like , Comment , Share เยอะๆ จะทำให้เพจของเรามี Reach ที่สูงขึ้น ในขณะที่คอนเทนท์ แย่ๆ ก็จะทำให้เพจมี Reach ที่ต่ำลง!

๐ หัดทำวีดิโอ หรือทำ“ไลฟ์ วีดิโอ” จากข้อมูลของบริษัทวิจัยพบว่าคอนเทนท์ที่เป็นวีดิโอจะมี Reach ที่สูงกว่า “ภาพ”ธรรมดาถึง 2 เท่า! และที่แจ่มจรัสไปมากกว่านั้นคือ ไลฟ์ วีดิโอ เพราะมี Reach สูงกว่าวีดิโอธรรมดาถึง 6 เท่า!!

อันนี้ผมเข้าใจดี ถึงความยากลำบากเวลาอยู่หน้ากล้องครับ ด้วยความสัตย์จริง ผมมนุษย์ดิจิทัล ผู้อยู่ในวงการ Digital Marketing มาถึง 18 ปี แต่ยังไม่เคยเอาหนังหน้าตัวเอง ออกสื่อไลฟ์ วีดิโอ บนเฟซบุ๊คเลยสักครั้ง…เขินอ่ะ!

๐ เปลี่ยนมาทำ Group แทน! ผมเห็นแบรนด์จำนวนหนึ่ง เปลี่ยนกลยุทธ์ โดยหันมาทำ Facebook Group แทน นับเป็นการแก้ปัญหา สไตล์ไทยๆ โดยแท้ ในเมื่อพี่มาร์คเว้นช่องเอาไว้ ก็หาทางซอกแซกแบบนี้แหละ แต่จริงๆแล้ว การบริหารจัดการ Group ดูจะต่างจากการจัดการบริหาร Page พอสมควรครับ เราต้องดูแลจัดการคอนเทนท์จำนวนมาก ที่โพสต์เข้ามาจากสมาชิก ถ้าดูแลจัดการไม่ดี ก็อาจจะมีเสียงด่า เสียงประนาม ที่มี Reach สูงกว่าปกติไปด้วย

อีกอย่างผมไม่มั่นใจว่าพี่มาร์ค แกจะเปลี่ยนใจ มาลด Reach ของ Group เมื่อไหร่? ใครเลือกมาทางนี้ ก็ขอให้เตรียมรับความเสี่ยงตรงนี้ไว้ด้วย

๐ อย่าพึ่งเฟซบุ๊คอย่างเดียว อยากให้ลองพิจารณาทำช่องทาง Social Media อื่นๆ เพิ่มไว้ด้วย ถ้ามีพลังทำไหว เช่น Instagram , Line , Twitter , Youtube , ฯลฯ ลองพิจารณาดูครับ ว่ากลุ่มลูกค้าของเรา ชอบใช้ Tool ตัวไหนอีกบ้าง นอกจากเฟซบุ๊ค

จริงๆ ในเมื่อเราลงทุนทำคอนเทนท์บนเฟซบุ๊คแล้ว การนำคอนเทนท์มาดัดแปลง เพื่อให้เข้าฟอร์แมทของโซเชียล มีเดียอื่นๆ นั้น อาจจะไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณมากขึ้นเท่าไรนัก  และช่องทางที่ผมอยากให้ผู้อ่าน ให้ความสำคัญมากที่สุด คือ เว็บไซต์ของเราเองครับ

ท่องไว้ให้ขึ้นใจโซเชียล มีเดีย หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ใดๆ ก็ตามนั้น เราไม่ได้เป็นเจ้าของครับ เราเป็นแค่ผู้ใช้ผู้อาศัย วันดีคืนดี อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎแบบที่พี่มาร์คทำ ในขณะที่เว็บไซต์นั้น เราเป็นเจ้าของเอง เราเป็นผู้ตั้งกฎเอง จะปรับจะเปลี่ยนยังไงก็ได้

แต่เว็บไซต์ที่ดี ควรจะต้องพยายามเก็บ Database ของผู้เข้าชมด้วยนะครับ อย่างน้อยที่สุด เก็บได้แค่อีเมลก็ยังดี  เพราะในขณะที่เฟซบุ๊คมี Reach ประมาณ 1% , อีเมล มาร์เก็ตติ้ง ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าไม่เวิร์คนั้น โดยเฉลี่ยกลับมี Open Rate ได้สูงถึง 10%

อันนี้ก็เป็นเทคนิคง่ายๆ 5 ข้อ เท่าที่คิดออก และพื้นที่เขียนอำนวย หวังว่าทุกคนคงจะสามารถนำไปประยุกต์รับมือกับพี่มาร์คได้

ว่าไปแล้ว อีตาโซวบักท้ง อายุเท่าไหร่เนี่ย? ถึงเรียกพี่มาร์คว่า พี่!