ข้อคิดถึงกรรมการบริษัท

ข้อคิดถึงกรรมการบริษัท

เมื่อพฤหัสฯที่แล้ว ผมไปร่วมงานสัมมนาของสถาบันกรรมการบริษัทไทย(ไอโอดี) หัวข้อ “Burning Issues Directors Need to Hear in the Year of The Dog"

หรือประเด็นร้อนที่กรรมการบริษัทควรทราบในปี 2018 และได้แสดงความเห็นในเรื่อง ความท้าทายด้านการกำกับดูแลกิจการที่บริษัทธุรกิจควรต้องตระหนัก ก็เลยอยากจะนำสิ่งที่ได้ให้ความเห็นไป มาแชร์ให้ผู้อ่าน “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ

ปีนี้ ถ้าจะพิจารณาจากเหตุการณ์รอบตัวเรา รวมถึงในต่างประเทศ ในแง่ CG จะเป็นปีที่ภาคธุรกิจมีคำถามสำคัญหลายข้อที่ต้องตอบ เพราะในเศรษฐกิจโลกขณะนี้ มีdisconnect หรือการไม่เชื่อมต่อชัดเจน ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม

อย่างแรก เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดี ภาคธุรกิจมีกำไร ตลาดการเงินปรับตัวสูงต่อเนื่อง แต่ประชาชนส่วนมากดูไม่มีความสุข เพราะไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น

2. ภาครัฐในหลายประเทศดูมีปัญหาและข้อจำกัดมาก มีความไม่พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างงานให้คนมีงานทำ การลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อสร้างฐานให้กับการเติบโตในระยะต่อไป หรือจะช่วยคนที่เกษียณแล้วที่เลยวัยทำงานแล้วให้มีรายได้เพียงพอที่จะอยู่ตามอัตภาพ

3. ภาคธุรกิจไปได้ดี และเป็นความหวังที่จะสามารถมีบทบาทช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีได้ แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้น เรื่องนี้เป็นความหวัง เพราะหากสังคมเข้มแข็ง ภาคธุรกิจก็จะสามารถเติบโตได้ดีต่อไป​

ในกรณีบ้านเราเอง disconnect เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้

เศรษฐกิจดีขึ้น แต่ความเหลื่อมล้ำก็มากขึ้น ภาครัฐที่ผ่านมาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าเรื่องระยะยาว ขณะที่ภาคเอกชนก็เป็นความหวัง ที่น่าจะมีบทบาทได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อช่วยสังคมและประเทศให้ดีขึ้น

ความไม่เชื่อมต่อเหล่านี้กำลังผลักดันให้บทบาทของภาคธุรกิจทั่วโลกขณะนี้ต้องเปลี่ยน เป็นการคาดหวังของทั้งผู้บริโภคและนักลงทุนที่อยากเห็นธุรกิจให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่าการมุ่งทำกำไร อยากเห็นการตัดสินใจของบริษัท

ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องระยะยาว ทั้งผลที่จะมีต่อธุรกิจและต่อสังคม อยากเห็นธุรกิจเป็นผู้นำที่จะพาประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจทำได้ เพราะคนในภาคธุรกิจรู้ดีว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ อีกทั้งบริษัทเองก็ต้องอยู่ในสังคมอีกนาน มีทรัพยากรและความรู้ความสามารถที่จะช่วยได้

การคาดหวังเหล่านี้จึงเป็นแรงกดดันให้บริษัทธุรกิจต้องปรับตัว ปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่ยอมรับ ซึ่งการปรับตัวต้องเริ่มที่จุดสูงสุดขององค์กร ก็คือ คณะกรรมการบริษัท ที่คณะกรรมการบริษัทต้องปรับบทบาทในการทำหน้าที่ อย่างน้อยใน 3 ด้าน

1. คณะกรรมการบริษัทต้องมองการทำธุรกิจด้วยมิติใหม่ ไม่ใช่เฉพาะเพียงการหากำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น แต่ต้องเป็นการสร้างหรือเติมมูลค่าให้กับบริษัท เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะยาว

2. คณะกรรมการต้องเป็นบอร์ดแบบผู้นำ เป็น Leadership Board ที่ใช้ความรู้ความสามารถของบอร์ดแนะนำฝ่ายจัดการ เพื่อให้บริษัทสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่างๆที่เข้ามากระทบบริษัท หมายถึงเป็นบอร์ดที่ให้ความสำคัญเรื่องยุทธศาสตร์ธุรกิจ หรือ strategy ให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารความเสี่ยง รวมถึงประเด็นใหม่ๆ ที่จะกระทบธุรกิจ เช่น IT และ Cyber Security และการวางแผนบุคลากรระดับสูงหรือ succession planning 

เหล่านี้คือ การให้ความสำคัญกับภาพระยะยาวของธุรกิจ

3. คณะกรรมการต้องให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้เกิดการยอมรับ เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ยั่งยืนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะในเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่หมายถึงการมีวิธีการทำธุรกิจหรือ Business Model ที่เป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่รวมถึงการทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรม การไม่จ่ายสินบนหรือไม่ทุจริตคอร์รัปชันในการทำธุรกิจ

นี่คือบทบาทของบอร์ดที่เป็นที่คาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นสิ่งที่ทั้งผู้บริโภคและนักลงทุนมองหา เป็นบทบาทหน้าที่ที่ตรงกับสิ่งที่สถาบันไอโอดีกำลังผลักดัน ตรงกับหลัก 8 ข้อใหม่ของ CG Code ของก.ล.ต. ตรงกับเป้าประสงค์ด้านความยั่งยืนทางธุรกิจของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  

น่าพอใจว่าบริษัทเอกชนของเราก็กำลังปรับตัวไปในทิศทางดังกล่าว เห็นได้จากคะแนนประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ CG ของบริษัทจดทะเบียนไทย 620 บริษัทที่ IOD ประเมินปีที่แล้ว ที่คะแนนออกมา 80 ส่วน 100 สูงสุดในรอบ 7 ปี เห็นได้จากที่มีบริษัทไทยมากถึง 17 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่ดัชนีความยั่งยืนของ DJSI และมีบริษัทในประเทศมากถึง 881 บริษัท ที่เข้าร่วมประกาศเจตนารมณ์ทำธุรกิจสะอาดกับโครงการ CAC   

ล่าสุดมี 283 บริษัทผ่านการรับรองว่ามีนโยบายและแนวปฏิบัติในการต่อต้านการทุจริตตรงตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ CAC กำหนด 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับตัวในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัทที่กำลังเกิดขึ้น สะท้อนความต้องการของภาคธุรกิจของเราที่จะนำสังคมธุรกิจของประเทศไปสู่สังคมธุรกิจที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี

แต่ momentum เหล่านี้จำเป็นต้องมีต่อ ต้องทำให้มากขึ้น ให้เกิดกว้างขวางขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพ CG ของทั้งระบบ 

ดังนั้น ปีนี้ ถ้าจะถามว่าประเด็นร้อนด้าน CG คืออะไร คำตอบก็คงชัดเจนว่า คือ การเปลี่ยนวิธีคิดของการทำธุรกิจ ให้เดินออกจากเป้าหมายการทำกำไรระยะสั้นเพื่อผู้ถือหุ้น ไปสู่การสร้างหรือเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ถึงจุดนี้ หลายท่านอาจมีคำถามในใจว่าแล้วเราจะเริ่มอย่างไร สำหรับกรรมการบริษัท การเริ่มต้นอาจทำได้โดยการตั้งคำถามให้กับตัวเองและคณะกรรมการบริษัทว่า 1. เราทำธุรกิจเพื่ออะไร 2. อะไรคือยุทธศาสตร์ระยะยาวของบริษัท คือ เรามองธุรกิจในอีก 10-15 ปีข้างหน้าอย่างไร และ 3. คณะกรรมการบริษัทปัจจุบันมีองค์ประกอบของความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของกรรมการเหมาะสมหรือไม่ที่จะผลักดันธุรกิจให้ก้าวไปในทิศทางที่สังคมอยากเห็น เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัท

สถาบันไอโอดีพร้อมที่จะช่วยบริษัทในการปรับตัวและหาคำตอบเหล่านี้ เพื่อยกมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการของภาคธุรกิจไทยให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของสถาบัน ปีนี้ เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ของกรรมการบริษัท งานใหม่ของสถาบันมีหลายเรื่อง 

ในส่วนของการพัฒนากรรมการหรือ Training จะเจาะลึกด้าน IT Governance และ Cyber Resilience ให้กับกรรมการบริษัทในธุรกิจภาคการเงิน รวมถึงจะพัฒนาหลักสูตรกรรมการในเรื่องวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งสำคัญมากต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านจริยธรรมให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในองค์กร

งานด้านวิจัยจะเน้นการออกแนวปฏิบัติสำหรับคณะกรรมการชุดย่อยให้ครบทุกชุด และออกแนวปฏิบัติด้าน CG เกี่ยวกับธุรกิจที่ไม่แสวงหากำไร รวมถึงพัฒนาเครื่องมือ และข้อมูลการเรียนรู้ Online เพื่อให้งานของสถาบันเข้าถึงทุกส่วนของสังคมในวงกว้าง

ด้านงานสมาชิกจะเน้นการจัดตั้งชมรมกรรมการอิสระเพื่อเป็นเวทีส่งเสริมการทำหน้าที่ของกรรมการ เพื่อให้เกิดการกำกับดูแลกิจการที่ดี และสถาบันจะเริ่มให้บริการสมาชิก ในรูปของ Advisory service เพื่อการปรับปรุงมาตรฐาน CG ของบริษัท

ท้ายสุดงานของ CAC ในการต่อต้านการทุจริต ปีนี้ จะขยาย CAC certification Model ไปสู่ธุรกิจ SME เพื่อให้บริษัทขนาดกลางและเล็กสามารถมีบทบาทในการส่งเสริมการทำธุรกิจสะอาด ที่ปลอดคอร์รัปชัน ขยายโครงการ Citizen Feedback ให้ครอบคลุมจำนวนหน่วยราชการให้มากขึ้น และส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีในกรณีมีการรับตำแหน่งที่ปรึกษา และกรรมการในบริษัทจดทะเบียนโดยเจ้าหน้าที่รัฐทั้งอดีตและปัจจุบัน เพื่อลดประเด็นผลประโยชน์ขัดแย้งหรือปัญหา revolving door

งานใหม่เหล่านี้คงจะช่วยในการปรับตัวของบริษัทได้มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับ CG ของภาคธุรกิจต่อเนื่องในปีนี้