เงินมากเท่าไรจะเรียกว่า “รวย”

เงินมากเท่าไรจะเรียกว่า “รวย”

เงินมากเท่าไรจะเรียกว่า “รวย”

ปริพรรห์ ปริยอุดมทรัพย์

ผู้ช่วยผู้จัดการ หน่วยงานแนะนำผลิตภัณฑ์ หลักทรัพย์บัวหลวง 

คำว่ารวยของแต่ละคนนั้นมีปริมาณไม่เท่ากัน กระทั่งเงิน 100 บาทของแต่ละคนค่ายังไม่เท่ากันเลย

“ถ้าคุณไปถามพ่อค้าแม่ขาย หาเช้ากินค่ำ ว่าเท่าไหร่ถึงรวย เขาอาจต้องการเงินแค่ 1,000,000 ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตนี้ แต่…หากคุณลองไปถามนายห้าง เจ้าของธุรกิจ เงินล้านนึงพอไหม? อาจโดนยักไหล่แล้วบอกว่า “แหม! ล้านนึงจะใช้ได้กี่เดือน ระดับผมถ้ารวยต้อง สิบล้าน ร้อยล้าน!” ก็เป็นได้

ฉะนั้นแล้วการที่เราจะนิยามตัวเองว่ารวยหรือยัง? หรือเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวยนั้นมันจะต้องมีเกณฑ์ในการวัดซะหน่อย ซึ่งการวัดความรวยที่ผมกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ จะใช้ตัวแปรอยู่ 2 ส่วนใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ “รายได้และค่าใช้จ่าย” โดยจะสามารถวัดความรวยออกมาได้ 2 ระดับคือ “พอกินพอใช้” และ “เหลือกินเหลือใช้” ลองมาดูกันครับ

อัตราส่วน พอกินพอใช้

สูตรนี้ใช้แค่ บวก ลบ แล้วก็หารมันโต้ง ๆ เลยครับ โดยให้คุณ เอารายได้ในรูปของ Active Income หรือรายได้ที่ต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแลกเงินมา ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าแรง ค่าจ้าง บวก ด้วย รายได้ประเภท Passive Income หรือรายได้ที่เกิดจากการส่งเงินไปทำงาน ไม่ว่าจะดอกเบี้ย เงินปันผล หรือค่าเช่าบ้าน/คอนโด จากนั้นจับหารด้วยค่าใช้จ่าย (ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต) ต่อเดือนผลที่ออกมา ควรมีค่าตั้งแต่ 1 ขึ้นไป (ยิ่งมากยิ่งดี) เพราะนั่นหมายความว่าคุณมีรายได้ทุกอย่างรวมกันสูงกว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือน นั่นหมายถึง “คุณพอกินพอใช้ และเริ่มมีประกายความรวยในระดับนึงแล้ว” แต่ความรวยนั้นยังไม่ใช่ที่สุด การจะรวยให้สุดต้องดูอันต่อไปครับ

อัตราส่วน เหลือกินเหลือใช้

อัตราส่วนนี้จะคล้ายกับอันบน แต่เราจะเอาแค่รายได้ที่ไม่ต้องทำอะไรก็ได้มา หรือ Passive Income อย่างดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า รวมกันแล้วหารด้วยค่าใช้จ่ายต่อเดือน ผลที่ออกมา ควรมีค่ามากกว่า 1 (ยิ่งสูงยิ่งดี) เพราะนั่นหมายความว่าวันนี้ คุณไม่ต้องทำมาหากินอะไร ก็สามารถอยู่ได้ด้วยดอกและผลจากการลงทุน แบบนี่เข้าคอนเซ็ปต์ “Financial Freedom หรืออิสระภาพทางการเงิน” แล้วครับ ถึงตรงนี้ผู้อ่านทุกท่านลองไปคำนวณกันได้เลยนะครับ ว่าเราอยู่ในข่ายพอกินพอใช้ หรือเหลือกินเหลือใช้ … แต่หากคำนวณแล้วยังไม่โดนใจ ลองดูหัวข้อถัดไปครับ

อยากรวยต้องมี Passive Income แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะได้มา? คำตอบ คือ ต้องมี 3 คำจำไว้ให้ดี “รู้หา รู้ออมรู้ลงทุน”

รู้หา… คุณไม่สามารถเนรมิตเงินออกมาลงทุนได้ ฉะนั้นก่อนจะมีเงินไปออม ไปลงทุน ต้องเริ่มหาเงินจาก Active Income ก่อน ไม่ว่าจะมาจากการทำงาน ค่าแรง เงินเดือน เริ่มจากตรงนั้น

รู้ออม… Warren Buffet เคยบอกว่า “จงใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าระดับรายได้” เพราะถ้าหาเงินได้ แต่เอาไปใช้จ่ายเสียหมด แล้วเราจะเหลืออะไรมาออม? ขั้นตอนนี้คุณจึงต้องเรียนรู้ที่จะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้มีเงินเหลือมาออมก่อน แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าการมีเงินเหลือ คือต้องมีเหลือทุกเดือน เป็นการสร้างวินัยนั่นเองครับ

รู้ลงทุน… ลำพังการมีเงินเหลือ แล้วเอาใส่ออมสินที่บ้านก็คงไม่สามารถช่วยให้เราพบอิสรภาพทางการเงินได้ครับ มันต้องลงทุนซิ! ไม่ว่าจะฝากเงิน ซื้อกองทุน ซื้อหุ้น เพื่อสร้างดอกเบี้ย เงินปันผลจากการลงทุนให้ได้

จากประสบการณ์การให้คำปรึกษาด้านการวางแผนการเงินการลงทุนของผม ในบรรดาทั้ง 3 รู้ สิ่งที่ยากที่สุดคือ “รู้ออม เพราะหลายท่านจะมีปัญหาภาระค่าใช้จ่ายสูง อะไรๆ ก็เป็นสิ่งจำเป็นไปเสียหมด วิธีแก้นั้นทำได้ง่าย แค่ให้คุณลองลิสรายการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนออกมา เอาแบบคร่าวๆ ก็ได้ ว่าเดือนที่ผ่านมาจ่ายอะไรไปบ้าง เช่น

 

  เงินมากเท่าไรจะเรียกว่า “รวย”

อย่างในภาพ เป็นตัวอย่างค่าใช้ต่อเดือนที่อาจอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณเสมอ ซึ่งเมื่อคิดเป็นต่อปี คุณจะเห็นว่ามันเป็นจำนวนเงินที่ไม่ได้น้อยเลยนะครับ ยกตัวอย่าง เงินค่ากาแฟ แก้วละ 165 บาท ดื่มวันละแก้ว ปีนึงก็ปาไปเกือบ 60,000 บาท

เชื่อไหมครับว่า ถ้าเอาเงินจำนวนนี้มาลงทุนในหุ้นไทย ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี ต่อเนื่องเป็นเวลา 20 ปี ... “คุณจะมีเงิน 4,000,000 บาท ... ซื้อบ้านได้เป็นหลัง!!!”

ลองคิดดูครับว่า ในบรรดารายการค่าใช้จ่ายที่ผมยกตัวอย่างให้ คุณสามารถปรับลดอะไรลงมาได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องลดทั้งหมด ลองแค่ลดอย่างละนิด อย่างละหน่อย เงินในกระเป๋าของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ

ส่วนเรื่อง “รู้ลงทุน” นั้น หากไม่ชำนาญ ไม่มีความพร้อม ก็ต้องลองหาพาร์ทเนอร์ด้านการลงทุนดี ๆ ซักคัน โดยที่หลักทรัพย์บัวหลวงเองก็มีเครื่องมือที่พร้อมบริการ