ปรับพอร์ตอย่างไรเมื่อ 1900 อยู่แค่เอื้อม

ปรับพอร์ตอย่างไรเมื่อ 1900 อยู่แค่เอื้อม

ปรับพอร์ตอย่างไรเมื่อ 1900 อยู่แค่เอื้อม

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ตอนที่ บล. ไทยพาณิชย์ ตั้งเป้าหมาย SET Index target ปี 2561 ไว้ที่ 1900 จุด ตอนนั้นดัชนีหุ้นบ้านเรายังอยู่ที่ 1600 จุดกว่าๆ หลายคนตั้งคำถามว่ามันจะไปถึงได้อย่างไร  จะเป็นฟองสบู่หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่เราให้ไว้ในตอนนั้นก็คือ ไม่ใช่ฟองสบู่ แต่เป็นระดับดัชนีที่เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ 1. ผลประกอบการ บริษัทจดทะเบียนน่าจะโตได้ไม่แพ้ Nominal GDP คือน่าจะอยู่ที่ราว 8% ต่อปี  2. สภาพคล่องล้น ดูจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นลงไปอยู่ที่ 1% ต้นๆ ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ ธปท. กำหนดไว้ที่ 1.5%   3. ประเทศไทยจะเข้าสู่ วัฎจักรการลงทุนระลอกใหม่ นำโดยโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐฯ และการออกกฎหมาย พรบ. EEC (เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ตามยุทธศาสตร์ชาติ  และ 4. ในปีนี้ที่เป็นช่วงสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง น่าจะมีการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศที่ได้ผลเร็วมากขึ้น เช่น การกระตุ้นการบริโภคในประเทศ   ทำให้ Sector ที่น่าจะได้รับประโยชน์ หลักๆ ก็จะอิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก เช่น ธนาคาร ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และ กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  

มาถึงวันนี้ที่ดัชนี SET Index เพิ่งทำจุดสูงสุดระหว่างวันใหม่ไปเมื่อพฤหัสบดีที่แล้ว (18 ม.ค. 2561) ที่ 1837.92 จุด เป้า 1900 จุดอยู่เพียงแค่เอื้อม หรือราวๆ 3-4% จากระดับดัชนีปัจจุบันที่ราว 1820 จุด คำถามคือ เราจะลงทุนอย่างไร มีกลุ่มไหนที่ยังน่าสนใจ

ในปัจจัยหลักที่เราหยิบยกมาข้างต้นนั้น ล่าสุดสิ่งที่เราทายถูกและเกิดขึ้นแล้วคือเรื่องสภาพคล่องล้นเหลือ และการกระตุ้นการบริโภคในประเทศเช่นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ  การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับที่อยู่อาศัยระดับล่างโดยธนาคารของรัฐฯ และมาตรการช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตร (เช่นการปรับโครงสร้างราคาน้ำตาลและประกาศให้ยางพาราเป็นสินค้าควบคุม) นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการเพิ่มสวัสดิการผ่านบัตรประจำตัวผู้มีรายได้น้อย ส่วนเรื่อง EEC กับการเติบโตของ GDP ตามวัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ของประเทศ ก็กำลังดำเนินไปและน่าจะประกาศใช้ได้ภายในไตรมาสแรกนี้

ที่น่าสนใจคือ ปัจจัยภายนอกที่นอกเหนือไปจากที่กล่าวมาข้างต้นกลายเป็นกำลังหลักในการปรับตัวขึ้นของ SET Index ในปีนี้ (ราว 70 จุดในช่วง 3 สัปดาห์แรก) ซึ่งมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผมให้กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง (9-11%) นั่นแปลว่าหากปัจจัยที่เหลือในประเทศ ค่อยๆ ทยอยเกิดขึ้นตามที่เรามองไว้ ก็มีโอกาสที่ดัชนี SET Index อาจจะทะลุเป้า 1900 ของเราขึ้นไปได้ไม่ยาก

สำหรับการจัดพอร์ตในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เราเน้นปัจจัยหลัก 3 เรื่องได้แก่

  1. ปัจจัยขับเคลื่อนในประเทศ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป เช่นการกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนในประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อกลุ่มค้าปลีก กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มธนาคาร (ซึ่งโดยรวมก็สอดคล้องกับ Theme การลงทุนที่เราออกบทวิเคราะห์ กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 1 ไปก่อนหน้านี้ที่เน้นกลุ่ม ธนาคาร อสังหา ประกัน และ ขนส่งระบบราง)
  2. ปัจจัยฤดูกาล โดยจากสถิติ 10 ปีย้อนหลัง พบว่าในช่วงต้นปีตลาดหุ้นมักเป็นขาขึ้น โดยเดือน ก.พ. SET Index มักปรับตัวขึ้น 8 ปีใน 10 ปี เดือน มี.ค. ขึ้น 8 ปีใน 10ปี และเดือน เม.ย. ขึ้น 9ปีใน 10 ปี แปลว่า ตามปัจจัยฤดูกาลแล้ว 3 เดือนนี้ SET Index มักเป็นขาขึ้น โดยค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี พบว่ารวม 3 เดือนตลาดหุ้นปรับขึ้น 9% โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ กลุ่มที่มักจะปรับตัวขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. ถึง เม.ย. ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน กลุ่มธนาคาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มบันเทิง
  3. เปลี่ยนตัวลงทุนไปจากกลุ่มที่ขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะการปรับตัวขึ้นของ SET ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขึ้นมาแล้วถึง 4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเดือน ม.ค. ย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ -0.4%  ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ SET Index อาจย่อตัวลงบ้างในช่วงสั้น  ทั้งนี้ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า SET Index อย่างมีนัยสำคัญมีเพียง 3 กลุ่มได้แก่ ปิโตรเคมี (+11%) พลังงาน (+9%) การเงิน (+6%)

ภายใต้ 3 ปัจจัยดังกล่าว พบว่ากลุ่มที่ราคาล้าหลัง SET Index  และมีปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยฤดูกาล ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร และประกัน  ดังนั้น ทั้ง 3 กลุ่มนี้จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการปรับพอร์ตสำหรับช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า