กูรูนักลงทุน "มาร์ค โมเบียส" : กระทิงชนะหมีทุกครั้งไป!

กูรูนักลงทุน "มาร์ค โมเบียส" : กระทิงชนะหมีทุกครั้งไป!

เขาเป็นกูรูด้านการลงทุนตลาดหุ้น และตราสารทุกประเภท เขาได้ชื่อว่าเป็นนักพยากรณ์แนวโน้มตลาด ที่แม่นยำที่สุดคนหนึ่งในวงการ

วันนี้ Mark Mobius ในวัย 82 บอกว่าเขากำลังจะเกษียณจาก Franklin Templeton Investments หลังจากทำหน้าที่เป็นประธานบริหารมาเกือบ 30 ปี

แต่เขากระซิบว่าชีวิตนี้คงไม่มีคำว่าหยุดทำงาน เป็นไปได้ว่าเขากำลังจะประกาศตั้งบริษัทตัวเองเพื่อทำงานด้านนี้ต่อไป เพราะชีวิตจบไปบทหนึ่งก็เริ่มอีกบทหนึ่งได้เช่นกัน

กูรูนักลงทุน \"มาร์ค โมเบียส\" : กระทิงชนะหมีทุกครั้งไป!

วันก่อน ผมขึ้นเวทีจับเข่าพูดคุยกับเขาเรื่องการทำงาน  ชีวิต และวิถีโลกการลงทุน

คำแนะนำที่เป็นหลักการใช้ได้กับทุกสถานการณ์ของการลงทุนคือ “มองโลกในแง่ดีตลอดเวลา แม้ในยามที่ทุกอย่างดูเหมือนจะมืดมนไปหมด”

นั่นไม่ใช่เพียงวาทะปลอบใจคนเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักปฏิบัติที่เขาใช้จนประสบความสำเร็จจนเลื่องลือไปทั่วว่า ฝีมือการตัดสินใจลงทุนของเขาในกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นได้สร้างผลกำไรให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

“จำไว้เป็นสัจธรรมเลยว่าตลาดกระทิงยาวนานกว่าตลาดหมีเสมอ และเมื่อตลาดฟื้นจากจุดต่ำ การขยับขึ้นจะมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าตอนลงทุกครั้ง เพราะการฟื้นจากจุดต่ำย่อมหมายถึงเปอร์เซ็นต์การฟื้นที่สูง”

มาร์คบอกว่าปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่ลงทุนแล้วขาดทุนก็คือขาดความอดทน ถูกครอบงำด้วยความกลัว และ ความโลภ ทำให้ซื้อในยามแพง และขายในยามถูก

“การพยายามสร้างนิสัยความอดทน ไม่ยอมให้อารมณ์ความกลัวและความโลภมากำหนดการตัดสินใจของเราในการซื้อการขาย กระจายความเสี่ยง เตรียมพร้อมตลอดเวลาที่จะปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา...นั่นคือสูตรของความสำเร็จที่แท้จริง” เขาแนะนำ

ฟังดูเหมือนเป็นหลักการที่ไม่ยาก แต่มาร์คบอกว่ามนุษย์ส่วนมากมักจะไม่สามารถสลัดความกลัวกับความโลภได้ จึงทำให้ตัดสินใจไปในทางที่ผิด และกลายเป็นนักลงทุนที่ล้มเหลว

กูรูนักลงทุนสัญชาติเยอรมัน (เปลี่ยนจากอเมริกัน) ยืนยันว่าเขามีความมั่นใจในเศรษฐกิจไทย และเชื่อว่าราคาหุ้นไทยจะยังสามารถทำสถิติใหม่ต่อเนื่องจากที่ทำ new high มาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

เหตุผลเพราะเขาเห็นว่าไทยมี “เสถียรภาพ” และมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

“ผมเชื่อว่าไทยมีศักยภาพที่จะโตปีละ 6-7% จากปัจจุบันที่โตระหว่าง 3-4% โดยเฉพาะหากมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นกิจลักษณะ ซึ่งรวมถึงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC และทางรถไฟที่เชื่อมต่อจากลาวอันเป็นส่วนหนึ่งของความริเริ่ม One Belt One Road ที่จีนผลักดันมาตลอด”

มาร์คบอกว่าเขาเชื่อว่าจีนจะมีบทบาทด้านเศรษฐกิจที่สำคัญต่อไทยและเอเชียอาคเนย์ เขาไม่เชื่อว่าระบบการเงินของจีนเป็น “ฟองสบู่” หรือระบบ “ธนาคารเงา” ที่เรียกว่า shadow banking เพราะทางการจีน “เอาอยู่” เนื่องเพราะตระหนักถึงปัญหานี้ และกำลังแก้ไขทุก ๆ ขั้นตอน

ผมถามว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่กับแนวทางวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยทุกวันนี้เหมือน “ทุเรียน” คือ “แข็งนอกแต่อ่อนใน” อันหมายความว่าการส่งออกดี แต่การใช้จ่ายในประเทศยังเบาบาง

มาร์คตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ผมชอบกินเนื้อทุเรียน แต่ไม่ชอบกลิ่นมัน เวลากินผมจึงเอานิ้วปิดจมูกแล้วเอาเนื้อทุเรียนใส่ปาก...”

ที่สำคัญ เขาบอกว่าหากจะเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยเป็นทุเรียนก็บอกได้ว่าเหมือนทุกอย่างยกเว้นกลิ่น

“เศรษฐกิจไทยไม่มีกลิ่นน่ากลัวเหมือนทุเรียนแน่นอน”!