เมื่อ2พรรค เจอมุมอับ จะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อ2พรรค  เจอมุมอับ  จะเกิดอะไรขึ้น

อะไรก็เกิดขึ้นได้สำหรับการเมืองไทย วันหนึ่งก็ด่าสาดเสีย เทเสียกันแทบเป็น แทบตาย วันหนึ่งก็“จับมือกัน”

ฉะนั้นบนสนามการเมืองถือเป็นเรื่องปกติ หลายคนมักถามว่าเวลาการเมืองเขาด่าเขาทะเลาะกันถึงขั้นไม่พูดไม่คุย ไม่มองหน้ากันจริงหรือ คำตอบบอกเลย“ไม่จริง” การเมืองบ้านเราหน้าฉากอย่าง หลังฉากอย่าง  อย่าไปคิดว่าเมื่อไหร่ที่เขาทะเลาะกัน นั่นหมายความว่าเขาจะไม่พูดคุยกันไม่จริง อยู่ในสภาด่ากันจะเป็นจะตายแต่พอจากสภาก็กอดคอกันเหมือนเดิม

เช่นเดียวกับเรื่องร้อนๆเวลานี้ ที่พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่ภาพภายนอกมองว่า“ขมิ้นกับปูน” แต่ใครจะเชื่อว่าวันนี้สองพรรคนี้มีอะไรที่เหมือนกันเข้าไปทุกวัน และดูเหมือนหลังฉาก“แอบจับมือกันยังไงก็ไม่รู้” ก็เพราะคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประเด็นการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ในคำสั่งที่ 53/2560 ซึ่งเป็นคำสั่งเจ้าปัญหาเวลานี้ ทำให้พรรคการเมืองใหญ่อย่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ย่อมไม่ต้องการอย่างรุนแรง ตลอดเวลาที่ที่คำสั่งนี้ออกมา สร้าง“ความเกลียดชัง”อย่างหนัก

จะเห็นว่าทั้งสองพรรคมีแนวคิดตรงกันคือ“ไม่เห็นด้วย” ในเชิงการเมืองมองเห็นชัดเจนในเรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ ล่าสุด ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกชัดเจน การออกคำสั่งแก้ไขกฎหมาย  เท่ากับเป็นการลบล้างกระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านการพิจารณาตามกระบวนการหรือไม่ และเป็นคำสั่งที่อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

 ส่วนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าน่าจะยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ ภายในสัปดาห์นี้ วินิจฉัยคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 “เหตุผลที่เห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ เพราะคำสั่งนี้สร้างความเสียหาย ทำให้มีภาระเกินสมควรแก่เหตุ จากกรณีให้สมาชิกพรรคต้องยืนยันความเป็นสมาชิกต่อหัวหน้าพรรค ภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะต้องดำเนินการ”

ฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ อาจเป็นแรงกระเพื่อมหนักที่จะ ทำให้เกิดการสั่นคลอนต่อผู้มีอำนาจได้ เชื่อเถอะ..งานนี้ปฏิบัติการกันแบบ“เหนียวแน่น” ดังนั้นในทางการเมืองคงจะไม่ยอมให้ผ่านไปได้ง่ายๆ เพราะปลายทางมันคือ“ความได้เปรียบและเสียเปรียบบนสมรภูมิการเมือง”มากกว่า คงไม่มีปลาใหญ่ที่ไหนจะยอมให้ปลาเล็กมากัดกิน