โลกแห่งโอกาส

โลกแห่งโอกาส

รากฐานของระบบเศรษฐกิจมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่ต้องมีความสมดุลจะเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้

เช่นการเมืองแข็งแรงเพียงด้านเดียวก็ไม่มีทางทำให้สังคมอยู่ได้อย่างปกติราบรื่น หรือเศรษฐกิจที่ดีเพียงด้านเดียวก็อาจกระทบกับสังคมโดยรวมได้

การสร้างความสมดุลทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกันจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่สามารถสร้างสมดุลได้ก็มักจะเกิดเหตุวุ่นวายตามมา ดังตัวอย่างที่เราได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยบ้านเราเอง ฉะนั้นการบริหารจัดการให้ทุกด้านมีความมั่นคงแข็งแรงจึงถือเป็นเรื่องท้าทายรัฐบาลทุกประเทศมาทุกยุคทุกสมัย

ย่างก้าวเข้าสู่ปี 2561 โลกเราเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่กระทบกับตัวแปรทั้ง 3 ส่วน โดยเฉพาะประเด็นด้านการเมืองระหว่างประเทศ นับตั้งแต่เวทีการเมืองระดับโลกที่นายบัน คี-มูน ครบวาระในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็นตลอดระยะเวลา 2 สมัยหรือ 10 ปีที่ผ่านมา

ตำแหน่งเลขาธิการคนใหม่เป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีของโปรตุเกส แอนโตนิโอ กูเตอร์เรส ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งในช่วงที่เกิดวิกฤติการทางการเมืองระหว่างประเทศมากมาย อาทิ กรณียิงขีปนาวุธข้ามประเทศของเกาหลีเหนือในช่วงปี 2560

รัศมีทำการของขีปนาวุธเกาหลีเหนือนั้นไกลไปถึงจุดยุทธศาสตร์สำคัญในหลายประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่สัญญาณเตือนภัยได้ดังขึ้นทั่วประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เพราะเกาหลีเหนือยิงทดสอบข้ามประเทศญี่ปุ่นไปโดยไม่สนใจกติกาสากลใดๆ ทั้งสิ้น

ที่สำคัญขีปนาวุธนั้นยังมีพิสัยทำการไปถึงเมืองหลวงของสหรัฐ รวมถึงเมืองใหญ่อีกหลายแห่ง ซึ่งนับเป็นการท้าทายมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐโดยตรงจนประธานาธิบดีสหรัฐอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ถูกท้าทายโดยประเทศเล็กๆ ไม่ใช่มหาอำนาจทางการทหารอย่างรัสเซีย จีน หรือฝรั่งเศส ฯลฯ ที่มีข้อตกลงในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2511 ส่งผลทำให้ทั้งโลกจึงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด

นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีความวุ่นวายที่เกิดจากนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ ที่ประกาศยอมรับให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลจนก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา เพราะประเทศสมาชิกองค์กรสหประชาชาติหลายประเทศรวมถึงบ้านเราก็ได้ประท้วงญัตติดังกล่าวเพราะเล็งเห็นว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างศาสนาที่อาจบานปลายเป็นสงครามได้

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเราเริ่มเห็นแล้วว่าบทบาทในการเป็นสีสันแห่งทำเนียบขาวของเขานั้นคาดเดาอะไรไม่ได้เลย

และในขณะเดียวกันที่สภาพภูมิอากาศในทุกวันนี้ก็แปรปรวนทั่วโลก ผลพวงของภาวะโลกร้อนได้แผลงฤทธิ์ให้เราเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ภาวะหนาวจัดในรัฐนิวยอร์ค ที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์​ ในขณะที่รัฐอบอุ่นอย่างฟลอริดาก็มีหิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี เช่นเดียวกับหลายๆ เมืองที่ไม่ควรจะหนาวก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ตัวแปรภายนอกประเทศทั้งหมดนี้ รวมกับการเมืองในประเทศส่งผลกระทบเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก โดยเฉพาะในบ้านเราที่ประมาณตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 3.3-3.4% จากภาวะปกติที่เราน่าจะอยู่ในระดับ 5% ใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีเวียดนาม 7% ฟิลิปปินส์​ 6.8% หรือมาเลเซีย 5%

ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ทำให้เราเห็นว่าเป้าหมายในปี 2561 นี้จะสำเร็จไม่ได้เลยหากเราไม่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะในวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นก็เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ที่เตรียมพร้อมที่สุดเสมอ