รายงานจากฝั่งทะเลที่ถูกลืม

รายงานจากฝั่งทะเลที่ถูกลืม

ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวเล็กใหญ่ในอเมริกาถูกกลบแทบหมดด้วยเรื่องเกี่ยวกับการวางตลาด และเนื้อหาของหนังสือชื่อ Fire and Fury

ซึ่งตีแผ่ความโกลาหลในทำเนียบขาว พร้อมทั้งเรื่องราวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์นำรายงานเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างรัฐจอร์เจีย กับ รัฐฟลอริดา ขึ้นมาเป็นเรื่องพาดหัวของหน้าแรก

รายงานนั้นจะเป็นที่สนใจของชาวอเมริกันขนาดไหนไม่เป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากข่าวโทรทัศน์ไม่ว่าทางช่องไหนเน้นรายงานเกี่ยวกับเรื่องของหนังสือดังกล่าว

ผมยังไม่มีโอกาสอ่านหนังสือนอกจากบางส่วนที่สื่อนำมาเสนอ ข้อมูลที่ได้รับและการตอบโต้ของนายทรัมป์ ไม่ทำให้ผมเปลี่ยนความประทับใจเกี่ยวกับนายทรัมป์ ซึ่งผมพูดถึงบ้างแล้วในคอลัมน์นี้ ผมยังมองว่า เขาจะสร้างปัญหาให้แก่อเมริกาและชาวโลกมากกว่า จะก่อให้เกิดการพัฒนาในแนวที่น่าจะเป็น

ข้อพิพาทระหว่างรัฐจอร์เจีย กับรัฐฟลอริดามีที่มาจากการแย่งน้ำ ซึ่งไหลผ่านรัฐจอร์เจียก่อนไหลต่อไปในพื้นที่ของรัฐฟลอริดา และออกอ่าวเม็กซิโกในย่านที่เรียกกันว่า “ฝั่งทะเลที่ถูกลืม” (Forgotten Coast)

พื้นที่แถบนั้น พร้อมทะเลนอกชายฝั่งเคยอุดมสมบูรณ์มากทั้งจากพืชและสัตว์น้ำ โดยเฉพาะป่าไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งให้น้ำหวานที่ผึ้งดูดไปจะทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และหอยนางรม  

ฟลอริดาอ้างว่าจอร์เจียกักน้ำไว้เพื่อใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภคมากเกินไป ส่งผลให้พื้นที่ และทะเลของตนขาดน้ำ จนทำให้ป่าไม้ไม่สมบูรณ์ดังแต่ก่อน และหอยนางรมขยายพันธุ์ได้ยาก

ข้อพิพาทนี้เกิดขึ้นนับสิบปีมาแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้เรื่องจึงต้องไปถึงศาลฎีกาของรัฐบาลกลางซึ่งเริ่มพิจารณาเมื่อวันจันทร์ วอชิงตันโพสต์มองเป็นเรื่องสำคัญจึงนำรายงานมาพาดหัว

อย่างไรก็ดี รายงานนี้มิได้อ้างถึงข้อพิพาทเกี่ยวกับน้ำระหว่างรัฐเท็กซัส กับ รัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งศาลฎีกาจะเริ่มพิจารณาในวันเดียวกันด้วย

รัฐเท็กซัสอ้างว่ารัฐนิวเม็กซิโกซึ่งอยู่ทางต้นน้ำของแม่น้ำริโอแกรนเด ไม่ยอมปล่อยน้ำให้ตามข้อตกลงที่ทำกันไว้ตั้งแต่ปี 2482 การกักน้ำไว้เช่นนั้น  สร้างความเสียหายร้ายแรงให้แก่ภาคเกษตรของรัฐเท็กซัส

ฝ่ายรัฐนิวเม็กซิโกโต้ตอบว่ารักษาข้อตกลงนั้นทุกประการตามการตีความของตน เมื่อตกลงกันไม่ได้ เรื่องจึงไปถึงศาลฎีกา

อนึ่ง มองอย่างเผินๆ อเมริกาน่าจะมีทรัพยากรน้ำเหลือใช้เนื่องจากภาคเกษตรผลิตอาหารได้มากจนเหลือขายให้ชาวโลกเป็นมูลค่าปีละกว่าแสนล้านดอลลาร์ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น

บางส่วนของประเทศขาดแคลนน้ำในระดับสาหัส อเมริกาจึงมีประวัติยาวนานเกี่ยวกับการพิพาทกันเรื่องน้ำ ทั้งระหว่างอเมริกากับเม็กซิโก ระหว่างรัฐกับรัฐ เช่น 2 เรื่องที่อ้างถึงและระหว่างชุมชนภายในรัฐเดียวกัน

อเมริกามีข้อพิพาทกับเม็กซิโกมานานมากเนื่องจากได้กักน้ำในแม่น้ำหลายสายที่ไหลต่อไปยังเม็กซิโกไว้เกือบหมด นอกจากนั้น น้ำที่ปล่อยไปยังเคยเป็นน้ำที่ใช้แล้วซึ่งมีสารพิษเจือปนอยู่อีกด้วย

ณ วันนี้มีข้อตกลงปี 2546 ควบคุมการปันน้ำกัน แต่หากมีปัญหา นายทรัมป์จะออกมาทำอย่างไรยากที่จะคาดเดา เพราะเขาพยายามกดดันเม็กซิโกทุกอย่าง รวมทั้งการจะให้จ่ายค่าทำกำแพงระหว่าง 2 ประเทศ

รัฐแคลิฟอร์เนียมีภาพของความก้าวหน้าสูง และความสมบูรณ์เป็นเลิศ แต่ภาพนั้นบดบังทะเลทราย และการขาดแคลนน้ำแสนสาหัสในพื้นที่บางส่วนของรัฐ โดยเฉพาะนครลอสแองเจลิส ที่มีข้อพิพาทมาเป็นเวลานานกับชนบทที่ใช้น้ำทำการเกษตร การขาดแคลนสาหัสขึ้น และข้อพิพาทเข้มข้นขึ้น เพราะฝนแล้งติดต่อกันมานานหลายปีจนก่อให้เกิดไฟป่าที่สร้างความเสียหายมหาศาลเมื่อไม่นานมานี้

พร้อมๆ กับข่าวที่เล่ามานี้มีสื่อบางแห่งเสนอความใกล้แห้งขอดตลอดบางช่วงของแม่น้ำมูล สภาพของแม่น้ำมูลในขณะนี้น่าจะบ่งชี้ว่า อีกไม่นานการขาดแคลนน้ำระดับสาหัสจะขยายออกไปถึงหลายสิบจังหวัดอีกครั้ง

เราโชคดีที่แต่ละปีมีฝนตกมากกว่าอเมริกาและหลายส่วนของโลกซึ่งขาดแคลนน้ำถึงขึ้นจะทำสงครามชิงน้ำกันโดยตรงแล้ว แต่เรายังมีปัญหาสาหัสเพราะเราเอาแต่อ้างศาสตร์พระราชา ทว่าไม่ทำตามอย่างจริงจัง