“บิทคอยน์” ความเชื่อ vs. ความจริง

“บิทคอยน์” ความเชื่อ vs. ความจริง

ณ เวลานี้ หนึ่งในการลงทุนที่ร้อนแรงที่สุดในโลกที่แทบจะปฎิเสธไม่ได้ก็คือ การลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล(Cryptocurrency) และบิทคอยน์

ทุกวันนี้ผมทั้งเขียน..พูด..ออกทีวี..ออกวิทยุมาหลายครั้งแล้ว ก็ยังคงต้องเจอกับคำถามเดิมๆ ดังนั้นวันนี้ผมจึงขออนุญาตเล่าให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจเกี่ยวกับ “ความเชื่อ” และ “ความจริง” เกี่ยวกับบิทคอยน์ ดังนี้ครับ

ความเชื่อ : บิทคอยน์เป็นแชร์ลูกโซ่ใช่หรือไม่?

ความจริง : ตัวของบิทคอยน์เองไม่ได้เป็นแชร์ลูกโซ่ แต่ก็มีผู้ไม่หวังดีนำบิทคอยน์ไปอ้าง และนำไปสู่การสร้างแชร์ลูกโซ่หลอกลวงผู้คนไปแล้วมากมาย ดังนั้นคุณผู้อ่านจึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องศึกษาอย่างละเอียดในการแยกแยะว่า การลงทุนไหนอันเป็นของจริง และอันไหนเป็นของหลอก

ความเชื่อ : บิทคอยน์สามารถแฮกได้ และบิทคอยน์ก็สร้างเพิ่มได้ไม่จำกัด

ความจริง : ตั้งแต่บิทคอยน์เกิดขึ้นมาในปี 2552 บิทคอยน์ไม่เคยถูกแฮกหรือถูกโจมตีและเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบิทคอยน์ใดๆ ได้เลย เหตุการณ์เมื่อปี 2557 ที่บริษัทเมาท์ก๊อกซ์ของญี่ปุ่นถูกโจมตี และถูกขโมยบิทคอยน์ไปกว่า 650,000 บิทคอยน์นั้น ไม่ได้เกิดจากระบบของบิทคอยน์เอง แต่เกิดจากระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเมาท์ก๊อกซ์ถูกแฮกต่างหาก

ทุกวันนี้บิทคอยน์ยังสามารถสร้างเพิ่มขึ้นมาได้ ด้วยการขุดเหมืองบิทคอยน์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง แต่การเพิ่มขึ้นจะค่อยๆ ลดลง และจำนวนบิทคอยน์จะสูงสุดได้ไม่เกิน 21 ล้านบิทคอยน์ ซึ่งบิทคอยน์เหรียญสุดท้ายจะถูกขุดออกมาในปี 2683 ปัจจุบันมีบิทคอยน์อยู่ในตลาดจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 16.8 ล้านบิทคอยน์ ด้วยเหตุที่บิทคอยน์มีจำนวนจำกัดนี้ จึงทำให้มันมีค่า

ความเชื่อ : บิทคอยน์มีค่าเพราะการเก็งกำไรเท่านั้น นำไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย

ความจริง : คงปฎิเสธไม่ได้ว่า ราคาของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาจากการเก็งกำไร ซึ่งผมให้น้ำหนักการเก็งกำไรสูงถึงประมาณ 90-95% ทีเดียว แต่บิทคอยน์ก็ยังมีประโยชน์จากการใช้สอยจริงๆ เช่น ประเทศที่มีประชาชนต้องออกไปทำงานต่างประเทศและต้องส่งเงินกลับบ้าน เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ในอดีตคนของประเทศเหล่านี้ที่ไปทำงานเมืองนอก เวลาจะส่งเงินกลับบ้าน ก็ต้องส่งผ่านธนาคาร หรือเวสเทิร์นยูเนียน หรือมันนี่แกรม ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายสูงมากถึง 3-5% ทีเดียว แต่ถ้าส่งผ่านบิทคอยน์ค่าโอนจะลดลงมาน่าจะต่ำกว่า 0.5% เสียอีก ที่ดีไปกว่านั้นก็คือ บรรดาญาติๆในประเทศของพวกเขา จะชอบให้ส่งเงินกลับบ้านเป็นบิทคอยน์ เพราะคิดว่าราคาของบิทคอยน์มีแต่จะขึ้นและขึ้น

ประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเวเนซูเอลา ซิมบับเว เป็นต้น ผู้คนจะชอบเก็บเงินเป็นบิทคอยน์ เพราะสามารถเก็บได้โดยรัฐบาลตรวจสอบได้ยาก และยังคงดำรงค่าของมันไว้ในระดับสูง ในขณะที่ค่าเงินของประเทศเหล่านี้มีแต่ขาลงเท่านั้น

ความเชื่อ : ทุกรัฐบาลบนโลกใบนี้กำลังจะปราบปรามบิทคอยน์อยู่

ความจริง : มีแนวโน้มว่าหลายรัฐบาลบนโลกใบนี้กำลังคิดจะปราบปรามบิทคอยน์และเงินสกุลดิจิทัลอยู่ สำหรับประเทศที่สั่งห้าม..สั่งปิด..ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้บิทคอยน์เกิด น่าจะมีประมาณซัก 20-30 ประเทศจากประมาณ 200 ประเทศทั่วโลก ประเทศที่จงเกลียดจงชังบิทคอยน์มากที่สุดในโลกคือ จีน ด้วยการปิดการระดมทุนเงินสกุลดิจิทัลใหม่ๆ (Initial Coin Offering) และปิดศูนย์รับแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ทั่วประเทศ ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในเดือนก.ย.ปีที่แล้ว

ส่วนประเทศที่รักบิทคอยน์มากที่สุดในโลกคือ ญี่ปุ่น วันที่ 1 เม.ย. 2560 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า บิทคอยน์เป็นการชำระเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย (Legal Payment) เป็นประเทศแรกในโลกที่ยอมรับบิทคอยน์ แต่ก็ไม่ได้ให้ฐานะสูงส่งถึงขึ้นเป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมาย (Legal Currency)

อีกประเทศที่เหมือนจะยอมรับบิทคอยน์แบบอ้อมๆ ก็คือ สหรัฐ โดยมีการให้ซื้อขายอนุพันธ์ Bitcoin Futures ได้แล้ว เปิดโอกาสให้นักลงทุนขาใหญ่เข้ามาลงทุนได้ ส่วนประเทศไทยมีประกาศตักเตือนให้ระวังการซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล แต่ยังไม่มีการห้ามซื้อขายแต่ประการใด การซื้อขายบิทคอยน์กล่าวได้ว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ถูกกฎหมายซักทีเดียว เพราะยังไม่มีกฎหมายใดๆ มารองรับ

ความเชื่อ : บิทคอยน์กำลังใกล้จะถึงจุด...ฟองสบู่แตกแล้ว

ความจริง : บิทคอยน์เคยผ่านเหตุการณ์ฟองสบู่แตกแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในช่วง 3 ปีแรกของบิทคอยน์ (2552-2554) ราคาของบิทคอยน์แกว่งสุดๆอยู่ระหว่าง 0.0001-1 ดอลลาร์ พูดง่ายๆก็คือราคาขึ้นลงแต่ละวันอาจสูงเป็น 1,000% ก็ได้

ช่วงปี 2555-2557 เป็นช่วงที่บริษัทเมาท์ก๊อกซ์..ศูนย์แลกเปลี่ยนบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้ามามีบทบาท ราคาจาก 5 ดอลลาร์ขึ้นไปสูงกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ เพิ่มขึ้น 200 เท่า แล้วพอเมาท์ก๊อกซ์เจ๊ง ฟองสบู่ก็ระเบิด ราคาบิทคอยน์ก็ตกลงกว่า 80% เหลือราคาต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์เสียอีก

เดือนก.ย.ปีที่แล้วรัฐบาลจีนบดขยี้บิทคอยน์ ทำให้ปริมาณการซื้อขายบิทคอยน์ทั่วโลกหายไปมากกว่า 70% ทีเดียว เพราะจีนเป็นตลาดบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และราคาจากเกือบ 6,000 ดอลลาร์ตกลงมาต่ำกว่า 3,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ หรือต่ำกว่า 50% เสียอีก

ท้ายนี้ “ฟองสบู่บิทคอยน์” ยังคงอยู่และคอยหลอกหลอนนักลงทุนอยู่ สำหรับคุณผู้อ่านที่เป็นนักลงทุนก็ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com