Happy New High (Year)  

Happy New High (Year)  

Happy New High (Year)  

ตลาดหุ้นไทยสร้างจุดสูงสุดใหม่ และเราคงคำแนะนำ เลือกหุ้นถือ ต่อไป...แม้ว่าดัชนีฯตลาดหุ้นไทย จะมีโอกาสพักฐานลง จากแรงขายล็อกกำไรระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะลงไม่แรง มองแนวรับแค่ 1,780/1,770 จุด ก่อนจะแกว่งออกข้างเพื่อสร้างฐานแล้วขึ้นต่อ ในระยะเดือน เพราะ  

ภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ พิจารณาได้จาก US ISM ภาคการผลิต เดือน ธค. 59.7 (จากเดือน พย.ที่ 58.2) ดีกว่าตลาดคาดที่ 58 จีน PMI ภาคผลิตเดือน ธค. 51.5 จาก 50.8 และ PMI ภาคบริการที่แกร่งเกินคาด ส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นหุ้นที่เชื่อมโยงกับ เศรษฐกิจโลก (Global play) อย่าง กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP BANPU) โรงไฟฟ้า (GPSC BGRIM BPP GULF) โรงกลั่น (IRPC SPRC ESSO TOP) ปิโตรเคมี (PTTGC IVL) ให้ปรับขึ้นต่อได้

และประเด็นการเก็งกำไร งบ 4Q17 ที่มีโอกาสจะดีกว่าตลาดคาด บวกกับ Analyst consensus จะปรับประมาณการณ์กำไรและเงินปันผลขึ้น หรือ แม้แต่การปรับราคาเหมาะสมพื้นฐานขึ้นตามการ Re Rate PE ผมเชื่อว่าจะผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อได้ไม่ยาก ตลอดเดือนนี้

ปัจจัยที่ต้องตามในปีนี้

หากฟองสบู่ Bitcoin แตก: การเทรด Bitcoin แพร่หลายในสกุลเงินเยนโดยคิดเป็น 40% ขณะที่ Market Cap ของ Bitcoin สิ้นปีอยู่ที่ราว US$2.8 แสนล้าน หากรวม cryptocurrencies อื่นด้วยมูลค่าตลาดจะเพิ่มไปถึง US$5.23 แสนล้าน และด้วยมูลค่าที่มีการเทรดกันจนดันราคา Bitcoin เพิ่มไปถึง 1400% ในปีที่แล้ว จนกลายเป็นที่ถกเถียงถึงผลกระทบโดยรวมต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน หากฟองสบู่ Bitcoin แตก...

แต่ จากสถิติการล่มสลายของยุค Dotcom เราเชื่อว่าหาก Bitcoin เกิดภาวะฟองสบู่แตกจริงจะไม่ได้กระทบตลาดหุ้นจนเกิดเป็นวิกฤตเพราะ มูลค่า Bitcoin ยังห่างจาก Dotcom bubble ที่มีมูลค่าในปี 2000 สูงถึง US$2.9 ล้านล้าน และ Market Caps ของ Bitcoin ยังห่างจาก Market Caps ตลาดหุ้นทั่วโลกปัจจุบัน ที่ US$79 ล้านล้าน อยู่มาก

ในแง่บวก Bitcoin ได้เพิ่มกำลังซื้อของนักลงทุนในญี่ปุ่น (ที่เน้นญี่ปุ่นเพราะมีสัดส่วนในการเทรด Bitcoin เกือบครึ่งหนึ่งของโลก) โดยพบว่ากำลังซื้อจากความมั่งคั่งเพราะ Bitcoin จะมีอยู่เกือบ 1 แสนล้านเยน

ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจาก “ธุรกรรม Bitcoin” โดยได้มีการประเมินการบริโภคไฟฟ้าต่อปีอยู่ที่ 33.2TWh หรือคิดเป็น US$1.6 พันล้าน ซึ่งเป็นการขยายตัวที่เร็วมาก และ 71% ของ “Bitcoin mining” อยู่ที่ จีน ซึ่งมีต้นทุนไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินที่ถูก ทำให้คาดว่า หากตลาด Bitcoin ยังโตต่อได้อีกในปีนี้ จะส่งผลต่อความต้องการถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

2nd Wave of Internet connectivity การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีระบบ Automation และ e-Commerce ซึ่งกดดันอำนาจต่อรองราคาของผู้ผลิตไม่ให้ปรับขึ้นราคาได้มากนัก เราจึงเห็นตัวเลขเงินเฟ้อทั่วโลกไม่ได้ปรับขึ้นอย่างที่เคยเป็นตามทฤษฎีในอดีต และเงินหมุนเวียนที่มีอยู่สูงใน ตลาด e-Commerce คาดส่งผลบวกต่อกลุ่ม ค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับ Smart phone และอุปกรณ์รองรับการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce

เงินเฟ้อ(ตามทฤษฏี)ต่ำ เพราะผลกระทบต่อเนื่องของ 2nd Wave of Internet connectivity แต่ดอกเบี้ยอาจขึ้นได้เร็ว การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และ กนง.ในปีนี้ ตลาดคาดว่าจะมีการปรับขึ้น 3 ครั้งเหมือนกัน โดยดอกเบี้ยไทย และ สหรัฐฯ สิ้นปี 2018 คาดจบที่ 2.25% เท่ากัน (กรอบบนของเฟด) ซึ่งคิดว่าการที่เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายในระหว่างปีนี้ จะไม่ใช่ปัจจัยที่จะกดดันให้ดอกเบี้ยขึ้นช้าอีกต่อไป      

Helicopter money ending ผู้กำหนดนโยบายการเงินทั่วโลกจะเริ่มอัดฉีดเงินเข้าระบบน้อยลงเรื่อยๆ และให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ซึ่งมองว่าการแข่งกันทำให้ค่าเงินสกุลหลักอ่อนค่าเหมือนในอดีตน่าจะน้อยลงตามลำดับ และเงินบาทอาจไม่อ่อนค่าอย่างทีทุกคนคิด...เพราะธนาคารกลางในภูมิภาคนี้ตระหนักดีถึงปัจจัยดังกล่าว และต้องทำทุกทางไม่ให้ค่าเงินตัวเองแข็งค่าเมื่อเทียบสกลุเงินหลักแน่ ทั้งนี้เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อส่งออก ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้นในปีนี้สวนทางแนวโน้มดอกเบี้ยในภูมิภาคนี้ จึงมีผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทโดยตรง

ความไม่สงบในตะวันออกกลาง...การประท้วงรัฐบาลอิหร่านที่เริ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่อเค้ารุนแรงขึ้น และสหรัฐฯได้ออกโรงสนับสนุนการประท้วงครั้งนี้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ อิหร่านเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มโอเปก...คาดส่งผลบวกต่อทิศทางราคาพลังงานโดยตรง