Macro Moment 2018 ฉบับการลงทุน

Macro Moment 2018 ฉบับการลงทุน

เมื่อกว่า 7 เดือนที่แล้ว บทความ ’ตลาดยุโรป.. Fool me again’ ได้สรุปว่าตลาดหุ้นยุโรปจะมาแรงในครึ่งปีหลังของปี 2017และแล้ว ณ วันนี้ ก็ปรากฎว่า

ผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นของยุโรปมาเป็นอันดับ 2 ด้วยผลตอบแทนร้อยละ 23.4

ผมมองว่าปี 2018 จะเป็นปีที่การลงทุนมีจุดเปลี่ยน จนมีการพลิกผันในช่วงกลางปี ไม่ใช่มาแบบม้วนเดียวจบเหมือนกับปีนี้ โดยขออธิบาย Macro moment ของการลงทุนปี 2018 ดังนี้

หนึ่ง มองว่าครึ่งปีแรกเป็นปีของตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนครึ่งปีหลังเป็นของตลาดเกิดใหม่ โดยจุดเปลี่ยนในช่วงกลางปีมาจาก learning curve ของว่าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด นายเจอโรม พาวเวล ที่น่าจะต้องประสบกับปัญหาการสื่อสารกับตลาดในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่สองของเขา คล้ายๆกับ Taper Tantrum ของอดีตประธานเฟดอย่างนายเบน เบอร์นันเก้

ผมขอเรียกสิ่งนี้ว่า Rate Hike Havoc เนื่องจากความที่ไม่ได้มาจากสายเศรษฐกิจมหภาคของนายพาวเวล เวลาที่ต้องเจอกับการเผชิญหน้าแบบ Q&A ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานกลางนักลงทุนและผู้สื่อข่าว น่าจะมีหลุดคำที่กระตุกขวัญของตลาดอยู่ จนนายพาวเวลขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ลำบาก

ตรงนี้ ทำให้ตลาดมองว่าเฟดและเศรษฐกิจสหรัฐมีความไม่แน่นอนในตัวนโยบาย จนตลาดหุ้นสหรัฐเกิดการแกว่ง โดยที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปีหน้าได้ลำบาก นอกจาก Rate Hike Havoc ยังมีสถานการณ์นอกสหรัฐที่เกิดแรงกระเพื่อม ทั้งการเมืองยุโรปที่เข้มข้นขึ้นทั้งในอิตาลี สเปน รวมถึงเยอรมนี ที่เสถียรภาพการเมืองยังไม่นิ่ง อีกทั้งนโยบายการเงินจีนก็ต้องเจอกับความเข้มข้นของผู้ว่าการธนาคารกลางจีนท่านใหม่

ทั้งนี้ การที่นายพาวเวลขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตอนขึ้นรับตำแหน่ง และขึ้นอีกทีตอนธ.ค.ปีหน้า จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าตั้งแต่ต้นปีถึงต้นไตรมาส 2 จากทั้งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และช่วงเวลาฮันนีมูนของกฎหมายภาษีฉบับใหม่ แล้วค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลงตอนครึ่งปีหลัง จากการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจนขึ้นอีกครั้งตอนปลายปี

ผมมองว่าสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐ เซคเตอร์แบงก์และค้าปลีกจะมาแรงในปีหน้า

สอง สำหรับตลาดหุ้นของประเทศพัฒนาแล้ว ครึ่งปีแรก เป็นของตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และช่วงเวลาฮันนีมูนของกฎหมายภาษีฉบับใหม่ และนโยบาย QE ที่จะส่งซิกโดย นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป ส่วนครึ่งปีหลัง เป็นของตลาดหุ้นญี่ปุ่น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ของทั้งจากทางรัฐบาลและธนาคารกลางญี่ปุ่น โดยที่หุ้นขนาดกลางและเล็กเป็นตัวนำ

สาม สำหรับตลาดเกิดใหม่ ผมมองว่าไตรมาสแรก ปี 2018 จะเป็นของฝั่งเอเชีย เนื่องจาก ค่าเงินดอลลาร์แข็งหนุนการส่งออกของประเทศย่านนี้ จนกระทั่งตอนกลางปีที่ค่าเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาอ่อน ฝั่งลาตินอเมริกาจะเริ่มกลับมา รวมถึงอินเดียที่เป็นเหมือนหลุมหลบภัยไม่ค่อยมี exposure กับต่างประเทศมากนัก แม้ earning จะไม่หวือหวาก็ตาม

สี่ ความเสี่ยงด้าน Geopolitical Risk ผมยังมองว่า ความเสี่ยงแบบพื้นๆ อย่างหนึ่ง ในช่วงกลางปีที่จีนมีนโยบายการเงินที่เข้มงวด หลังจากการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปี 2018 และสอง การเลือกตั้งในยุโรปแล้วพรรคประชานิยมมีคะแนนเสียงสูง ไม่ว่าจะเป็นอิตาลีหรือเยอรมนี ยังเป็นความเสี่ยงอันดับต้นๆ โดยที่มีการขู่เรื่องระเบิดนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือมาสลับฉากเป็นพักๆ เหมือนเคย รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกมาโจมตีผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผ่านทวิตเตอร์เป็นพักๆ

ท้ายสุด สำหรับปี 2018 ทั้งปี ผมมองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะมีผลตอบแทนมาเป็นอันดับหนึ่ง ตลาดหุ้นเอเชียและยุโรป มาเป็นอันดับสองและสามตามลำดับ ไว้ปลายปีหน้ามาดูคำเฉลยกันครับ