ตลาดแรงงานปีหน้าจะเป็นเช่นไร (2)***

ตลาดแรงงานปีหน้าจะเป็นเช่นไร (2)***

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับแรงงานไทย ที่สถานศึกษาระดับต่างๆ ผลิตขึ้นมาแล้ว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้

อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้คำตอบนี้ เราต้องทำความเข้าใจว่าขณะนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่

เมื่อเดือน ต.ค. สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เปิดผลสำรวจภาวะการมีงานทำของประชากรไทยที่มีประมาณ 65.75 ล้านคน ซึ่งเป็นประชากรในวัยแรงงาน (work force) 56.05 ล้านคน เปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน น่าจะอยู่ในลำดับที่ 3 รองจากอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ตราบเท่าทุกวันนี้ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากประชากรวัยแรงงานจำนวนนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมีผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 37.22 ล้านคน ซึ่งผู้เขียนขอใช้เวลาพูดถึง กลุ่มที่อยู่นอกกำลังแรงงาน 18.83 ล้านคน (33%) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในฐานะสร้างรายได้ให้กับประเทศ เช่น แม่บ้าน 5.72 ล้านคน เป็นคนทำงานที่คอยสนับสนุนคนในบ้านที่ต้องออกไปทำงานภาคเศรษฐกิจ ไม่ถือว่าเป็นภาระของสังคม เนื่องจากมีคนหารายได้ให้ใช้อยู่เบื้องหลัง

แต่ผู้อยู่นอกกำลังแรงงาน ซึ่งกำลังเรียนหนังสือ 4.44 ล้านคน เกือบ 100% อยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ใช้งบประมาณมากกว่า 20.3% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งประเทศ เพื่อหวังว่าจะผลิตบุคลากรจบการศึกษาอย่างมีคุณภาพ แต่คุณภาพของผู้เรียนทุกวันนี้ ตกต่ำมาเป็นเวลานาน นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของความล้มเหลวของการศึกษาไทยที่ส่งต่อผู้คนเข้าสู่ตลาดแรงงาน

แผนภาพที่ 1  โครงสร้างประชากรวัยแรงงานของประเทศไทย (ตุลาคม 2560)

ที่มา: ดัดแปลงจากผลการสำรวจการมีงานทำของประชากร เดือนตุลาคม 2560

ทั้งนี้ เป็นความล้มเหลวที่เกิดจากความไม่สามารถรักษาเด็กแต่ละชั้นเรียนให้คงอยู่ในสถานศึกษา เช่น ในปี 2559 เด็กที่อยู่ในระดับการศึกษาภาคบังคับ (6-14 ปี) จำนวน 7.4 ล้านคน หลุดจากระบบการศึกษาจากแต่ละชั้นเรียนถึง 2 แสนคน ซึ่งพบว่า โรงเรียนในสังกัด ศธ. ผู้ปกครอง และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ยังคงปล่อยให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับการศึกษา กลายเป็นเด็กด้อยคุณภาพ และถ้าไม่ได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา หรือไม่ได้รับการฝึกอบรมอีกเลยจนอายุถึง 18 ปี ในที่สุด คนกลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นแรงงานที่มีทักษะต่ำ (low skilled) มีอาชีพเพียงทำงานรับจ้าง รายได้ต่ำวนเวียนในวัฏจักรของความยากจน

ส่วนนักเรียนไม่ได้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นก็มีมาก เช่น ในปี 2559 เด็กที่มีอายุ 12-14 ปีในความรับผิดชอบ ศธ. จำนวน 2.6 ล้านคน ไม่ได้เรียนประมาณ 3 แสนคน หรือ 11.4% เป็นสถิติที่น่าตกใจมาก เนื่องจากอายุยังไม่ถึงวัยทำงาน ไม่มีใครกล้าจ้างเด็กเหล่านี้เข้าทำงานเพราะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานเด็ก นับเป็นความสูญเปล่าที่ยังไม่ได้แก้ไขให้สำเร็จ ยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าสู่วัยที่ต้องเลือกเรียนต่อสายสามัญและอาชีวศึกษาพบว่า มีเด็กวัย 15-17 ปี ประมาณ 2.7 ล้านคน เรียนต่อเพียง 2 ล้านคน แบ่งสายสามัญ 1.3 ล้านคน (48.9%) สายอาชีวศึกษา 0.7 ล้านคน (23.8%) ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมายที่ต้องการให้มีผู้เรียน ปวช. ถึง 60-70%

ปัญหารองลงมาเป็นเรื่องที่ผู้เรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวะ (ช่วงอายุ 18-21 ปี) ปรากฏว่ามีเด็กนักเรียนถึง 43.7% หรือประมาณ 308,000 คน ไม่ได้เรียนต่ออุดมศึกษา หรืออนุปริญญา โดยเด็กเหล่านี้ยังไม่สามารถเข้าทำงานได้ทันทีทั้งหมด เนื่องจากบางส่วนอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ต้องรอเกือบปีเต็ม และเป็นช่วงที่เด็กจะอ่อนไหวต่อการเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง เพื่อรอเข้าสู่ตลาดแรงงาน (ถ้าไม่กลับเข้าไปเรียนต่อ) จึงมีจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน เกิดความสูญเสียต่อประเทศชาติจนไม่อาจประเมินได้

ดังนั้น เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กศน. และ/หรือหน่วยงานประชารัฐจะต้องจัดฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้ได้มีโอกาสเพิ่มเติมความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ขาดแคลนแรงงานนี้จำนวนนับแสนคนได้ นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่เข้าเรียนอุดมศึกษาปีที่ 1 ไม่ได้มาลงทะเบียนหรือออกจากระบบการศึกษาถึง 38.6% ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงเช่นกัน

ที่จริงแล้วความสูญเสียเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีผู้ที่ทั้งที่อยู่ และไม่ได้อยู่ในกำลังแรงงานอีกส่วน คือคนว่างงานและข้อมูลส่วนอื่นๆ จากตัวเลขจากตารางที่ 1 จะเห็นว่าเกือบ 1.2 ล้านคน ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่สามารถสนับสนุนมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศและยังเป็นภาระให้กับประเทศอีกด้วย ถ้าตัดกลุ่มพระและเณรออกไปกลุ่มที่เหลือเข้าข่าย “เสียของ” โดยเฉพาะผู้ต้องโทษหรือผู้อยู่ในสถานพินิจฯ แม้ว่าจะได้รับอิสรภาพแล้ว แต่จะมีปัญหาในการเข้าทำงานในตลาดแรงงาน ที่ส่วนใหญ่เกิดจากสังคมยังไม่เปิดกว้างยอมรับกำลังแรงงาน “มีตำหนิ” ทำให้พวกเขาอยู่ในภาวะ “ถูกรอนสิทธิ” การช่วยเหลือกลุ่มนี้ คือการส่งเสริมให้ทำงานอาชีพอิสระหรือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมผ่อนปรนกฎระเบียบให้รับผู้ต้องขังเข้าทำงานให้มากขึ้น

ย้อนกลับไปดู ประชากรวัยแรงงาน 37.2 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำเป็นส่วนใหญ่ 36.65 ล้านคน มีพลังในการสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจไม่เท่ากัน เนื่องจากแรงงาน/คนทำงานมีคุณภาพ (การศึกษา) สูงต่ำแตกต่างกัน ถ้าจำแนกแรงงานกลุ่มนี้ออกไป 2 ส่วน คือแรงงานในระบบ (ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายมีเพียงประมาณ 15.34 ล้านคน หรือ 41.2% เท่านั้น) ถ้าตัดนายจ้างออก 0.94 ล้านคน จะเหลือลูกจ้างเอกชนเพียง 14.4 ล้านคน ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการสร้างรายได้ในรูปมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยจากกำลังแรงงานเพียง 41.8% เป็นแรงงานที่มีคุณภาพระดับ semi-skilled ขึ้นไป แต่กำลังแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงาน (หรือคนทำงาน) นอกระบบ (ไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย) จำนวน 21.31 ล้านคน หรือ 58.2% ซึ่งอยู่ในภาคเกษตรถึง 11.04 ล้านคน มากกว่า 51.8% ของแรงงานนอกระบบ ส่วนมากมีคุณภาพระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่าเกือบ 50% ทำการผลิตทางการเกษตรเชิงเดี่ยว มีผลิตภาพต่ำ ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำมาก อีก 10.27 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานส่วนตัว มีจำนวนน้อยที่ประสบความสำเร็จ

สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการไปแล้วคือ พยายามนำประเทศไทยให้ก้าวข้ามประเทศที่ติดกับดักประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลาง โดยกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศระยะยาว 20 ปี พร้อมกับปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมุ่งสู่นวัตกรรม 4.0 (ไทยแลนด์ 4.0) ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบเดิมๆ รวมเวลา 55 ปี พิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจได้ช้ากว่าประเทศที่เริ่มพัฒนามาพร้อมๆ กัน คือ เกาหลีใต้และมาเลเซีย จุดอ่อนของประเทศไทยคือ มีปัญหาที่การผลิตและพัฒนากำลังคน (ด้านอุปทาน) และปัญหาการผลิตและการค้าที่ขาดนวัตกรรม (ด้านอุปสงค์) การปรับโครงสร้างการผลิต/อุตสาหกรรมบริการใน 20 ปีข้างหน้า นับว่าเดินมาถูกทาง

อุปสรรคสำคัญที่รัฐต้องเผชิญ คือ ประเทศไทยยังขาดนักพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความสามารถระดับโลก สังเกตได้จากรายชื่อมหาวิทยาลัยวิจัยที่ไทยมีอยู่ติดลำดับไม่ถึง 100 ของโลก มีนวัตกรรมในรูปสิทธิบัตรค่อนข้างน้อย และมีผลงานวิจัยที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ค่อนข้างจำกัด มีผู้ที่จบสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นับล้านคน แต่ส่วนใหญ่ทำงานไม่ตรงกับสาขาที่ศึกษา มีเพียง 41% ของกำลังแรงงานที่อยู่ในข่ายสนับสนุน จากทั้งหมด 8.12 ล้านคน ในภาคอุตสาหกรรม (หรือ 21.8% ของกำลังแรงงาน) และมีแรงงานสาขาเทคนิคหรือจัดในกลุ่ม productive work force ไม่ถึง 2 ล้านคน ซึ่งน้อยมากเทียบกับกำลังแรงงาน 37.2ล้านคน

ผู้เขียนจึงเสนอแนะกิจกรรมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการดังต่อไปนี้

  1. เด็กวัยเรียน ทุกคนต้องได้เรียนและระหว่างเรียนต้องรักษาอัตราคงอยู่ทุกชั้นเรียนให้ได้ใกล้เคียงกับ 100% ผู้บริหาร ศธ. ทุกระดับและครูทุกคนต้องรับผิดชอบกับคุณภาพเด็กนักเรียนทุกคนที่ไม่ได้มาตรฐานให้กลับมาเป็นพลังในการพัฒนาประเทศให้ได้
  2. เก็บตกเด็กวัยเรียนทุกคนให้ได้เรียนและ/หรือฝึกฝีมือแรงงาน เด็กและเยาวชนที่พ้นวัยเรียนรวมทั้งผู้ที่ตกจากระบบมาก่อนให้พวกเขาทุกคนมีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะประกอบสัมมาอาชีพได้ทุกคน
  3. ใช้กระบวนประชารัฐที่รัฐบาลได้สร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการประสานความร่วมมือในการเตรียมผู้จบการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานโดยเฉพาะในพื้นที่เป้าหมายที่เป็นระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่ง
  4. ขับเคลื่อนแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ซึ่งเน้นการจัดการศึกษาทุกช่วงวัยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
  5. รัฐควรจะต้องดูแลกำลังคนที่เป็นแรงงานในระบบและคนทำงานนอกระบบให้ได้รับการคุ้มครองด้วยความเสมอภาคและเป็นธรรม

ดังนั้นก่อนที่จะคิดถึงอะไรที่ไกลความเป็นจริง รัฐก็ควรจะดำเนินการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้อง 5 ข้อข้างต้นเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

โดย... ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์

*** ชื่อเต็มเรื่อง: ตลาดแรงงานปีหน้าจะเป็นเช่นไร (ตอนที่ 2)
คุณภาพการศึกษาตกต่ำ คุณภาพกำลังคนตกต่ำ
จะไม่มีใครช่วยได้เชียวหรือ