ส่องแผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ภาคเหนือ … บูมหัวเมืองหลัก-รอง
ส่องแผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ภาคเหนือ … บูมหัวเมืองหลัก-รอง
ประธาน จิวจินดา
หัวหน้าส่วนวิจัยนโยบายรัฐและปัจจัยทางธุรกิจ
สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.สุโขทัยเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.60 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้ประชุมยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ ร่วมกับภาคเอกชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัด เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะในการพัฒนาพื้นที่
ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลเร่งรัดเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและลดต้นทุนโลจิสติกส์ในพื้นที่ภาคเหนือ สำนักวิจัยจึงได้รวบรวมโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศของกระทรวงคมนาคม ซึ่งถูกบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการระยะเร่งด่วน หรือ แอ๊กชั่นแพลนในปี 2559-2560 พบว่าแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคเหนือ มีมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท
ทางบก 7 โครงการ แบ่งเป็นโครงข่ายทางถนน ได้แก่ การก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอด และสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 ระยะทาง 21.4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก, โครงการไฮเวย์แม่สอด – ตาก เพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดและการค้าชายแดน, โครงการไฮเวย์เชียงใหม่ – เชียงราย ระยะทาง 185 กิโลเมตร ผ่านลำปาง-พะเยา อยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียด นอกจากนี้ยังรวมถึงโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ วงเงิน 1,400 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง, โครงการสถานีขนส่งสินค้าภูมิภาคที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลกและตาก เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมสินค้าจากแหล่งผลิตต่างๆในการขนส่งระหว่างภูมิภาค และโครงการพัฒนาจุดพักรถบรรทุกตามเส้นทางหลักที่จังหวัดกำแพงเพชร
ทางราง 6 โครงการ แบ่งเป็นรถไฟทางคู่ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงปากน้ำโพ – เด่นชัย วงเงิน 56,066 ล้านบาท ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ และแพร่, โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย – เชียงใหม่ วงเงิน 59,924 ล้านบาท ผ่านจังหวัดแพร่ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่, โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ วงเงิน 76,978 ล้านบาท ผ่านจังหวัดแพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย ซึ่งทั้ง 3 โครงการอยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็เพิ่มเส้นทางรถไฟใหม่จากลำนารายณ์ จ.ลพบุรี-เพชรบูรณ์ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ - พิษณุโลก -เชียงใหม่ ซึ่งทางญี่ปุ่นได้ส่งผลการศึกษามาแล้ว โดยจะเริ่มก่อสร้างเฟสแรกในช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลกในปี 2562 ตลอดจนรถไฟฟ้ารางเบาที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะใช้ระบบพีพีพีหรือรัฐร่วมลงทุนกับเอกชนหรือไม่ และจะเดินรถแบบใด
ทางน้ำ 2 โครงการ เป็นการพัฒนาท่าเรือเชียงแสนและท่าเรือเชียงของที่มีอยู่เดิมให้สามารถสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณสินค้าผ่านท่าเรือเชียงแสน 2.1 แสนตัน/ปี คิดเป็นมูลค่า 22,100 ล้านบาท และมีปริมาณสินค้าผ่านท่าเรือเชียงของ 8.5 หมื่นตัน/ปี คิดเป็นมูลค่า 20,600 ล้านบาท รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อบริการข้อมูลข่าวสารสำหรับลูกเรือ 4 สัญชาติแม่น้ำโขงตอนบน (ไทย - ลาว - เมียนมา - จีน)
ทางอากาศ 3 โครงการ เป็นการพัฒนาท่าอากาศยานในภูมิภาคให้พร้อมรองรับปริมาณผู้โดยสารได้มากขึ้น ได้แก่ การปรับปรุงท่าอากาศยานแม่สอด เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารในอนาคต จากปัจจุบัน 8 หมื่นคน/ปี เป็น 3.6 ล้านคน/ปี การขยายท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีเป้าหมายการรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศ เพื่อรองรับผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นราว 18-20 ล้านคนในปี 2573-2578 นอกจากนี้ ยังรวมถึงการขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง วงเงิน 6,200 ล้านบาท ในระยะ 15 ปีข้างหน้าเช่นกัน
การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และโลจิสติกส์ ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ จะทำให้ภาคเหนือเป็นพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพในการเป็นประตูแห่งโอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว อีกทั้งมีโครงข่ายที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศอินเดียและเมียนมา
คาดว่า เมื่อการลงทุนเพื่อสร้างโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทางภาคเหนือ ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) , กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน), และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (พิษณุโลก ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์) จะได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากศักยภาพเชิงพื้นที่จะทำให้ ประการแรก จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดโดยรอบเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทั้งเชิงสุขภาพและเชิงวัฒนธรรม รองรับการขยายตัวการค้าและการลงทุนเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน ประการที่สอง จังหวัดพิษณุโลกเป็นสี่แยกอินโดจีนจะทำให้สามารถรองรับการค้าแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกและตะวันตก เชื่อมโยงการเดินทางจากแหล่งที่อยู่อาศัยเข้าสู่แหล่งงาน แหล่งวัตถุดิบเข้าสู่แหล่งอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยว สถานศึกษาและเชื่อมต่อการเดินทางการขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้าน ประการที่สาม การที่จังหวัดเชียงรายและตากเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบกับการเติบโตของมูลค่าการค้าชายแดนของจังหวัดเชียงรายและตากจากความสะดวกที่เพิ่มมากขึ้นของการเคลื่อนย้ายทรัพยากรทางการเกษตร แรงงาน และเงินทุนข้ามพรมแดน ยังช่วยกระจายนักท่องเที่ยวและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ตัดสินใจมาท่องเที่ยวในจังหวัดทางภาคเหนือมากขึ้น