Technological disruption : EV, AV, Taas (2)

Technological disruption : EV, AV, Taas (2)

ครั้งที่แล้ว ผมเขียนถึงแนวคิดและการวิเคราะห์ของนาย Tony Seba แห่งมหาวิทยาลัย Stanford

ซึ่งเชื่อว่ากำลังเกิด Technological convergence (เทคโนโลยี ต่าง ๆ 3-4 แขนง พัฒนามาถึงจุดหนึ่งพร้อมกัน) จนจะทำให้เกิดความพลิกผันในอุตสาหกรรมรถยนต์ และการขนส่งของโลก ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างฉับพลันกว้างไกล

ไม่เพียงแต่รถไฟฟ้า (EV) จะมาทดแทนรถยนต์เบนซิน/ดีเซล ได้มากน้อยเพียงใด (ซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย) แต่ผลกระทบโดยรวมต่อเศรษฐกิจโลกนั้น จะกว้างเกินกว่าอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง

Tony Seba ฟันธงว่าภายในปี 2030 

1) ความต้องการพลังที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นของโลกทั้งหมดจะได้มาจากแสงอาทิตย์ หรือ ลม

2) รถที่ขายในท้องตลาดเกือบทั้งหมดจะเป็น EV

3) รถทั้งหมดจะเป็น AV หรือ semi-autonomous (ขับเอง หรือคนจะเลือกขับก็ได้)

4) ยอดขายรถยนต์จะลดลง 70% (จากประมาณ 100 ล้านคันต่อปี เป็น 30 ล้านคันต่อปี)

5) บริษัทขายรถจะไม่สามารถอยู่รอดได้ ราคาน้ำมันจะลดลงเหลือ 25 เหรียญต่อ บาร์เรล

6) ประชาชนจะเลิกเป็นเจ้าของรถและรถ Taxi จะสูญพันธ์

การคาดการณ์ของ Tony Seba นั้น ถือได้ว่าเป็นเสียงส่วนน้อย โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า EV จะเข้ามาทดแทนรถเบนซิน/ดีเซล อย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ธนาคาร UBS ของสวิตเซอร์แลนด์ คาดการณ์ว่ายอดขาย EV ในปี 2025 จะมีส่วนแบ่งของตลาดเท่ากับ 14% เมื่อเทียบกับ 1% ในปี 2017 หลายฝ่ายมองว่ายอดขาย EV จะมีส่วนแบ่งของตลาดรถยนต์ประมาณ 30% ในปี 2040

การมองต่างมุมของ Tony Seba นั้น เป็นผลมาจากการที่เขาฟันธงว่า เทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ กำลังพัฒนามาถึงจุดที่เมื่อนำมาใช้ร่วมกัน (Technological convergences) จะทำให้ความพลิกผันเกิดขึ้นได้แก่ แบตเตอรรี่, AV, พลังแสงอาทิตย์ และ Ride hailing/sharing หรือ Uber

1) แบตเตอร์รี Tony Seba ประเมินว่าต้นทุนแบตเตอรีลิเธียมไอออน (Li-Ion) ปรับลดลงเฉลี่ย 14% ต่อปีในช่วง 1995 – 2010 และลดลง 16% ต่อไป ในช่วง 2010-2014 ดังนั้น หากราคายังลดลงในอัตรา 16% ต่อปีต่อไปราคา Li-Ion จะลดลงจาก 300 ดอลลาร์ต่อ 1 kwh ในปี 2017 เหลือ 50 ดอลลาร์/kwh ในปี 2030 ซึ่งจะทำให้รถ EV ที่ปัจจุบันราคา 35,000 ดอลลาร์ ลดลงเหลือ 20,000 เหรียญในปี 2022 

ในจุดนั้น รถเบนซิน/ดีเซล จะเริ่มขายได้ยากเพราะ รถ EV นั้น ใช้ไฟเพื่อวิ่ง 60,000 ไมล์ ใน 5 ปี เพียง 1,565 ดอลลาร์ แต่รถปัจจุบันจะต้องเติมน้ำมันคิดเป็นเงิน 15,000 ดอลลาร์ เพื่อจะวิ่งระยะยาวเท่ากัน คนเกือบทั้งหมดจึงจะหันมาซื้อรถไฟฟ้า

2) เทคโนโลยี AV ต้องพึ่งพาเซ็นเซอร์ที่ มองเห็นได้รอบด้าน คือ Li Dar (Light Detection and Ranging) Li Dar ซึ่งราคา 70,000 ดอลลาร์ ในปี 2012 ราคาได้ลดลงมาเหลือ 1,000 ดอลลาร์ ในปี 2014 และน่าจะลดลงมาเหลือ 100 ดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยรถ 1 คัน คงจะต้องใช้ Li Dar ประมาณ 4 ตัว 

นอกจากนั้น ต้นทุนของ super computer ที่ต้องใช้ขับเคลื่อนรถนั้น ก็ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น super computer ในปี 2000 ราคา 46 ล้านดอลลาร์ และใช้พื้นที่ 150 ตารางเมตร แต่แผงวงจรที่ถือในมือได้วันนี้ ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่า super computer ปี 2000 กว่า 2 เท่าตัว มีราคาเพียง 59  ดอลลาร์ 

3) ต้นทุนของการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ก็กำลังลดลงอย่างมาก เพราะราคาแผง Solar cell ก็กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว  ทั้งราคา Li-Ion ที่ลดลงจะทำให้ต้นทุนการกักเก็บไฟฟ้าเอาไว้ใช้ทั้งที่บ้านและในรถ EV ลดลง

4) Ride hailing (Uber)   นอกจากรถเบนซิน/ดีเซล จะมีต้นทุนในการขับเคลื่อนสูงกว่า EV เกือบ 10 เท่าตัวแล้ว ยังมีต้นทุนในการดูแลรักษาสูงกว่า EV อย่างมาก เพราะมีชิ้นส่วนที่สึกหรอมากถึง 2,000 ชิ้น ขณะที่ EV มีชิ้นส่วนดังกล่าวเพียง 20 ชิ้น ดังนั้น รถ EV จึงอายุใช้งานถึง 500,000 ไมล์ เทียบกับรถเบนซิน/ดีเซล ที่มีอายุใช้งาน 100,000 – 140,000 ไมล์ 

แต่ปัจจุบันซึ่งเจ้าของรถใช้รถโดยเฉลี่ยเพียง 2 ชม./วัน (อีก 90% ของวัน รถจอดอยู่เฉย ๆ ) อายุใช้งาน 100,000 ไมล์ จึงไม่มีปัญหา แต่บริษัท เช่น Uber ซึ่งจะสามารถนำ EV มาใช้ได้ 40% ต่อวัน ทำให้ค่าบริการถูกกว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัวหลายเท่าตัว 

Tony Seba คำนวณว่า การใช้รถส่วนตัวนั้น จะมีต้นทุน 0.65 ดอลลาร์ต่อไมล์ในปี 2021 และเพิ่มขึ้นเป็น 0.78 ดอลลาร์ในปี 2030 หากใช้ EV ส่วนตัว ก็จะมีต้นทุน 0.62 ดอลลาร์ในปี 2021 ลดลงเป็น 0.61 ดอลลาร์ในปี 2030 แต่หากใช้บริการ Transport as a service (เช่น Uber) ก็จะจ่ายเงิน 0.16 ดอลลาร์ต่อไมล์ในปี 2021 และลดลงเหลือ 0.10 ดอลลาร์ต่อไมล์ในปี 2030 

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ Taas ใช้รถ EV 40% ต่อวันไม่ใช่ 5-10 % ต่อวัน และรถ EA มีต้นทุนในการบำรุงรักษาต่ำมาก นอกจากนั้นต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าก็จะลดลงไปได้อีก(เพราะใช้ solar cell) ที่สำคัญคือผู้โดยสารรถ AV จะกลายเป็นลูกค้าที่สามารถบริโภคสินค้าและบริการในขณะที่นั่งอยู่ในรถ AV 

ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำ 33 บริษัทที่ลงทุนใน AV ซึ่งนอกจากบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ทุกบริษัทแล้ว ก็ยังมียักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Google, Intel, Bosch, Delphi และ Microsoft รวมอยู่ด้วยครับ