ความเป็นไปได้ 4 กรณี ในวิกฤติคาบสมุทรเกาหลี
ข่าวใหญ่จากคาบสมุทรเกาหลีที่ตึงเครียดขณะนี้คือ การหนีข้ามเส้นขนานที่ 38 หรือ Demilitarized Zone (DMZ) ของทหารเกาหลีเหนืออีกคนหนึ่ง
จากเกาหลีเหนือมาเกาหลีใต้ หลังจากที่เกิดกรณีคล้ายกันนี้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
ที่เป็นดราม่าเสี่ยงกับการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างโสมแดง กับโสมขาวก็คือ การที่ทหารเกาหลีใต้ยิงเตือน 20 นัด ไม่ให้ทหารเกาหลีเหนือที่ตามไล่ล่านั้น เข้ามาประชิดเส้นขนานที่ 38 มิฉะนั้นจะเกิดการปะทะกันได้
นี่เป็นทหารเกาหลีเหนือคนที่ 4 ที่กล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ด้วยการวิ่งหนีข้ามเส้นแบ่งเขตสองเกาหลีใน 3 ปีที่ผ่านมา
ปรากฎการณ์เช่นนี้จะยิ่งยกระดับความบาดหมางระหว่างเกาหลีเหนือกับใต้ และสหรัฐ
ขณะที่ความพยายามเจรจาทางการทูตยังมืดมนอยู่ และยังไม่มีความชัดเจนว่า คิม จองอึน จะตัดสินใจกดปุ่มยิงขีปนาวุธรอบใหม่เมื่อใด หลังจากที่ได้ทดลองครั้งหลังสุด 29 พ.ย. ที่ยืนยันว่าประสบความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธพิสัยไกล (Intercontinental Ballistic Missile หรือ ICBM)
คณะจากสหประชาชาตินำโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติ Jeffrey Feltman ไปพบกับตัวแทนรัฐบาลเกาหลีเหนือ ที่เปียงยางเมื่อสัปดาห์ก่อน 4 วัน (นับรวมเวลาที่ถกกัน 15 ชั่วโมงครึ่ง) ไม่ได้ให้ความหวังใหม่อะไรว่า จะมีการเจรจาระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐได้ในเร็ววันแต่อย่างใด
ยิ่งมีทหารเกาหลีเหนือหนีข้าม “เขตปลอดทหาร” มาอีกคนหนึ่งเช่นนี้ ยิ่งทำให้คิม จองอึน เสียหน้า และชี้นิ้วกล่าวหาฝ่ายเกาหลีใต้ และสหรัฐว่า อยู่เบื้องหลังการสร้างสถานการณ์
อุณหภูมิที่เส้น 38 วันนี้ร้อนระอุขึ้นโดยพลัน
หนังสือพิมพ์อังกฤษ The Telegraph อ้างแหล่งข่าววงในบอกว่า สหรัฐกำลังเตรียมแผน “bloody nose military attack” ต่อเกาหลีเหนือ เพื่อสกัดไม่ให้โสมแดงยิงขีปนาวุธรอบใหม่
คำว่า bloody nose แปลว่าชกที่จมูกให้เลือดสาด ไม่ถึงกับถล่มให้ทลายไป อย่างที่โดนัลด์ ทรัมป์เคยขู่ไว้ในคำปราศรัยที่สหประชาชาติ
หากข่าวนี้เป็นจริงก็ย่อมแปลว่า สหรัฐมีแผนการสำหรับ pre-emptive strike หรือ โจมตีก่อน เพื่อสกัดกั้นเกาหลีเหนือ
ซึ่งก็อาจจะนำไปสู่การที่เกาหลีเหนือจะต้องเตรียมแผนตั้งรับเพื่อตอบโต้ หากสหรัฐตัดสินใจจะชกที่ดั้งจมูกก่อน
ข่าวนี้ยิ่งสร้างความหวั่นไหวให้กับคนทั่วไปมากขึ้น เพราะแปลว่าความพยายามที่จะให้มีเจรจาต่อรอง ระหว่างเปียงยางกับวอชิงตันล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าแล้ว
ผมเห็นว่าถึงวันนี้มี 4 กรณีที่จะเกิดขึ้นได้ในวิกฤติคาบสมุทรเกาหลี
กรณีที่ 1 คือการเจรจาระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือผ่านสหประชาชาติ ซึ่งในระยะสั้นยังไม่เกิดขึ้นแน่นอน
กรณีที่ 2 สหรัฐตั้งรับด้วยการเตรียมตั้งรับหากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธรอบใหม่ ซึ่งหมายถึงการยิงจรวดสกัดขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ซึ่งก็เสี่ยงที่จะนำไปสู่ศึกสงคราม แม้จะเป็นปะทะกันกลางอากาศก็ตาม
กรณีที่ 3 สหรัฐรุกด้วยการทำโจมตีแบบ pre-emptive strike หรือ surgical strike ซึ่งก็คือ การทำลายฐานปฏิบัติการและฐานส่งขีปนาวุธของโสมแดง ก่อนที่คิมจองอึนจะสั่งทดลองจรวดรอบใหม่
กรณีนี้ก็เสี่ยงที่จะเปิดศึกสงครามได้อย่างกว้างขวางเช่นกัน
กรณีที่ 4 คือ “สงคราม!” โดยที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าต้องวัดดวงกันด้วยอาวุธร้ายแรงแล้ว
นั่นคือภาพที่ไม่มีใครอยากเห็น แต่ก็ไม่สามารถปิดประตูความเป็นไปได้ของสงคราม หากทั้งสองฝ่ายไม่หาทางลงอย่างเหมาะสมในระยะเวลาอันใกล้นี้
ข่าวบอกว่าระหว่างการไปเยือนเปียงยางเมื่อสัปดาห์ก่อน นาย Feltman ของสหประชาชาติ ได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งให้แก่รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ นายรี ยองโฮ ขอให้อ่านอย่างละเอียดเพื่อเรียนรู้จากประวัติศาสตร์
หนังสือเล่มนั้นชื่อ The Sleepwalkers: How Europe Went to War in 1914 เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ Christopher Clark
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ อธิบายถึงการที่ประเทศในยุโรป “เดินละเมอ” เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ต้องการให้เกิดสงครามเลย
เพราะต่างฝ่ายต่างประเมินอีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาด และแม้จะไม่มีใครอยากเปิดศึกสงคราม แต่ “อุบัติเหตุ” เกิดขึ้นได้เสมอ หากไม่ระวัง
จึงเตือนกันว่ากรณีวิกฤติคาบสมุทรเกาหลี ก็อาจเกิดเรื่องซ้ำรอยอดีตทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็ตาม!