ยึดเงียบราชการส่วนภูมิภาค

ยึดเงียบราชการส่วนภูมิภาค

เมื่อต้นธ.ค.ที่ผ่านมา จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ได้มีการจัดกิจกรรมพัฒนาเมืองขึ้นหลายจุดในวันเดียวกัน ซึ่งตามธรรมเนียมของระบบราชการไทย

ก็ต้องมีประธานเปิดงาน มีคนกล่าวรายงาน ฯลฯ 

จากธรรมเนียมและระเบียบปฏิบัติที่ผ่านมา หากเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในหน้าที่ของฝ่ายบ้านเมืองในเขตท้องที่ใด ผู้บริหารในท้องที่นั้นก็จะเป็นประธานในพิธี แล้วเจ้าของเรื่อง หรือหัวหน้าคณะทำงาน ก็จะเป็นผู้กล่าวรายงาน เช่น ในจังหวัดก็จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานฯ ในพิธี เป็นต้น 

หากเป็นงานของส่วนราชการอื่น เช่นราชการส่วนกลาง แต่มาทำพิธีเปิดโครงการในพื้นที่โดยหัวหน้าส่วนราชการ เช่น อธิบดี ฯลฯ หากเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดมาร่วมพิธีด้วย ก็อาจจะเชิญเป็นประธานร่วม หรือเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้กล่าวต้อนรับ แล้วให้เจ้าของเรื่องเป็นผู้กล่าวรายงานต่อประธาน

แต่กรณีนี้มาแปลกกลับกลายเป็นว่าในกำหนดการนี้ให้แม่ทัพภาคฯ เป็นประธานในหลายๆ จุด ในเมืองนั้น แล้วให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ เป็นผู้กล่าวรายงานในทุกจุด 

ดูเผินๆ แล้วผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอาจจะเห็นว่า “อ้าว ภาคก็ต้องใหญ่กว่าจังหวัดสิ” หรือไม่เช่นนั้นบางคนก็ยังเข้ามาแสดงความเห็นในเฟซบุ๊คของผมว่าคงเป็นเพราะคำสั่ง หน.คสช.ที่ 51 /2560 ที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของกอ.รมน.ใหม่มั้ง หรือ ผอ.รมน.ภาคก็ต้องใหญ่กว่า ผอ.รมน.จังหวัดอยู่แล้ว

ผมขออธิบายว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นข้าราชการส่วนภูมิภาค ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ปี 2534 เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของราชการภูมิภาค ซึ่งประกอบไปด้วยจังหวัด และอำเภอ แต่แม่ทัพภาคเป็นข้าราชการส่วนกลางที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่ 

ผมไม่เถียงว่า แม่ทัพภาค ในฐานะผอ.รมน.ภาคนั้น มีลำดับสูงกว่าผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะ ผอ.รมน.จังหวัด แต่จะสูงกว่าในอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.เท่านั้น ไม่ใช่ในอำนาจหน้าที่ของข้าราชการส่วนภูมิภาค เพราะภาคของกองทัพ ไม่ได้มีสถานภาพเป็นราชการส่วนภูมิภาคตาม พ.ร.บ.ระเบียบริหารราชการแผ่นดินฯ  

ที่สำคัญ กิจกรรมการพัฒนาเมืองไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาคฯ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหน้าที่เดิม หรืออำนาจหน้าที่ใหม่ ที่เพิ่มขึ้นมาตามคำสั่งฯนี้ คือ สาธารณภัยตามกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เข้าไปครอบหน้าที่ของมหาดไทยอีกทีหนึ่ง 

อีกทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกับแม่ทัพภาคนั้น ก็เป็นข้าราชการคนละประเภท คือ ข้าราชการฝ่ายพลเรือนกับข้าราชการฝ่ายทหาร ซึ่งไม่มีลำดับชั้นการบังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกันตามสายงานปกติแต่อย่างใด

ในอดีตเคยมีปัญหาถกเถียงแย่งชิงกันในการกล่าวถวายรายงานฯในพื้นที่ว่า ใครก่อนใครหลัง จนสำนักพระราชวังได้มีการประชุมฯ และกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้กล่าวรายงานในฐานะผู้บริหารสูงสุดของฝ่ายบ้านเมืองในจังหวัด ตามด้วยฝ่ายตุลาการ ฝ่ายตำรวจ และปิดท้ายด้วยฝ่ายทหารในฐานะผู้ถวายความปลอดภัย ซึ่งก็ยึดถือกันมาโดยตลอด

ที่ผมยกประเด็นนี้ขึ้นมานั้นผมไม่ได้มาต่อสู้เรียกร้องให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด เพราะท่านที่รู้จักผมย่อมรู้ว่า ผมรณรงค์และขับเคลื่อนมานานแล้ว ในเรื่องของการกระจายอำนาจ หรือจังหวัดจัดการตนเอง ซึ่งมีหลักการสำคัญก็คือการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคเสียด้วยซ้ำ 

น่าเสียดายที่ร่างพ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร ซึ่งเป็นเรื่องของจังหวัดจัดการตนเองของเชียงใหม่ ที่เสนอโดยภาคประชาชนต้องมาแท้งไปเสียก่อนเพราะเหตุแห่งการรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค. 2557

แต่ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมานั้นเพราะเห็นว่าการที่ หน.คสช.มีคำสั่งที่ 51/2560 ลงวันที่ 21 พ.ย.2560  เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีการแก้ไขเพิ่มเติมในหลายส่วน 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการแก้ไขโครงสร้าง กอ.รมน.ภาคใหม่ ให้ กอ.รมน. ภาคแต่ละแห่งมีคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ประกอบด้วย ผอ.รมน.ภาค เป็นประธานกรรมการ อธิบดีอัยการภาคที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีอาวุโสสูงสุด แม่ทัพน้อย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีอาวุโสสูงสุด และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการ 

ผู้ว่าราชการจังหวัดที่อยู่ในเขตพื้นที่ อธิบดีอัยการภาคที่อยู่ในเขตพื้นที่ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยเขตที่อยู่ในเขตพื้นที่ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาคที่อยู่ในเขตพื้นที่ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคที่อยู่ในเขตพื้นที่ หัวหน้าสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ หัวหน้าส่วนราชการอื่นที่อยู่ในเขตพื้นที่ ซึ่ง ผอ.รมน.ภาคแต่งตั้งจำนวนไม่เกินสิบห้าคน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่ง ผอ.รมน.ภาค แต่งตั้งจำนวนไม่เกินห้าคนเป็นกรรมการ และให้เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เป็นกรรมการและเลขานุการ 

ที่น่าสังเกตคือ มีการเอาอธิบดีอัยการฯ ที่อยู่ในภาคเข้ามาเป็นกรรมการด้วย ซึ่งย่อมมีผลต่อการสั่งคดีอย่างแน่นอน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คำสั่งฯนี้ก็ยังไม่ได้รวมถึงการกิจกรรมการพัฒนาในพื้นที่แต่อย่างใด ฉะนั้น การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องกล่าวรายงานต่อแม่ทัพภาคฯ ในกิจกรรมการพัฒนาเมืองนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีการตีความกันจนเกินเลยโดยอาจจะด้วยความผิดพลาด หรืออาจจะด้วยความตั้งใจ ซึ่งย่อมเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยที่ต้องทำหน้าที่อรรถาธิบายให้ชัดเจน

ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยมัวแต่หวงอำนาจ กลัวแต่การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น แต่หารู้ไม่ว่าในส่วนบนของราชการส่วนภูมิภาค ถูกกอ.รมน.ยึดอำนาจไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะมาจากที่ใดก็ตาม อำนาจของ กอ.รมน.ตามคำสั่ง หน.คสช.ที่ 51/2560 นี้ ก็เปรียบเสมือนรัฐซ้อนรัฐคุมกระทรวงทบวงกรมอื่นไปอีกทีหนึ่ง จึงเป็นการยากที่จะพัฒนาให้ทหาร เป็นทหารอาชีพที่ทำหน้าที่เฉพาะการป้องกันประเทศจากอริราชศัตรู โดยไม่มาแทรกแซงการบริหารบ้านเมืองจนกลายเป็นรัฐทหารไปโดยปริยายเช่นในคำสั่งฯนี้ และแน่นอนว่าย่อมเป็นการยากที่จะพัฒนาการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นซึ่งเป็นรากฐานของประชาธิปไตยในระดับชาติได้

กว่าจะฮู้คิง น้ำปิงปอแห้ง (บ่าเฮ้ย) - กว่าจะรู้ตัว น้ำปิงก็แห้งเสียแล้ว