อัศจรรย์ของการลงทุนใน RMF-LTF

อัศจรรย์ของการลงทุนใน RMF-LTF

อัศจรรย์ของการลงทุนใน RMF-LTF

ผมเพิ่งซื้อกองทุน RMF และ LTF ประจำปี 2560 ตามที่ทำมาทุกปีในช่วงปลายปีเป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว  เหตุผลหลักที่ซื้อก็คือเพื่อที่จะลดภาษีที่ต้องจ่ายจากรายได้ลง 30%  นั่นก็คือ  ทุกปีผมจะซื้อกองทุน RMF และ LTF อย่างละประมาณ 15% ของรายได้ประจำปีแต่ไม่เกิน 250,000 บาท ตามที่กฎหมายกำหนด  นี่คือเงินที่ผม “ได้แน่ ๆ”  ในวันที่ซื้อหน่วยลงทุน  อย่างไรก็ตาม  การซื้อกองทุนทำให้ผมต้องเสียโอกาสที่จะนำเงินนั้นมาลงทุนเองที่ “อาจจะ” ทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น   ผมเองค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าผมซื้อกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก  ผลตอบแทนที่ได้ในระยะยาวก็คงต่ำกว่าการลงทุนที่ผมจะทำเองมากและคงไม่คุ้มกับภาษีที่ผมประหยัดได้แน่  ดังนั้น  ผมจึงเลือกลงทุนใน RMF ที่ลงทุนในหุ้นทั้งหมด  ในส่วนของ LTF ซึ่งลงทุนในหุ้นเป็นหลักอยู่แล้วผมก็เลือกลงทุนในกองที่เน้นการถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงที่สุด  นอกจากนั้น  ทั้งสองกองทุนผมก็ยังเลือกที่จะไม่รับปันผลเลย   เพราะผมเชื่อว่าเงินที่เก็บรักษาและลงทุนเพื่อการเกษียณนั้น  เราไม่ควรนำมาใช้เลยก่อนที่เราจะเกษียณ  เราควรจะปล่อยให้มันทบต้นไปเรื่อย ๆ  จนถึงวันที่เราจะนำมันออกมาใช้

ผมเอง  “เกษียณ” จากการทำงานประจำมานานแล้ว  ว่าที่จริงเมื่อผมเริ่มซื้อกองทุนแค่สองสามปี  ผมก็ลาออกจากงานประจำแล้ว  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ยังมีรายได้อื่นโดยเฉพาะจากลิขสิทธิ์หนังสือที่ผมเขียนมาโดยตลอดและผมก็ซื้อกองทุน RMF และ LTF ต่อเนื่องมาทุกปีเพื่อ “ลดภาษีรายได้” โดยที่ไม่ได้สนใจว่ามันจะเติบโตขึ้นเพียงพอที่ผมจะนำมาใช้ในยามเกษียณหรือไม่  เหตุผลก็เพราะผมมีเงินเพิ่มขึ้นมากจากการลงทุนในตลาดหุ้นเองจนเงินในกองทุน RMF และ LTF นั้นกลายเป็นเงินส่วนน้อยที่ไม่มีนัยสำคัญไปแล้วและผมก็ไม่สนใจที่จะดู  อย่างไรก็ตาม   ถ้าสมมุติว่าผมไม่ได้ร่ำรวยขึ้นอย่างที่เป็นอยู่และก็ยังคงต้องทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ  RMF และ LTF ที่ผมถืออยู่ในวันนี้มันจะมีความหมายแค่ไหน?  มันจะพอให้ผมใช้ในยามเกษียณจริง ๆ  ที่ไม่มีรายได้ไหม?  นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดและจะเขียนในวันนี้

จากสถิติการลงทุนของผมที่ถูกบันทึกไว้ในสมุดบัญชีกองทุน  ผมเริ่มลงทุนใน RMF ตั้งแต่เริ่มมีกองทุนนี้ในประเทศไทยในปี 2545   วันที่ผมเริ่มลงทุนนั้นเป็นวันที่ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะเงียบเหงามากอานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤติตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2540  ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 350 จุด  แต่นั่นสำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว  มันคือ “ฤกษ์” ที่ดีที่สุด  เพราะในปีต่อมา  ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นถึง 117% ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นปีที่ตลาดให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย

หลังจากนั้นผมก็ลงทุนใน RMF ทุกปี จนถึงวันนี้เป็นเวลา 16 ปี  เงินที่ผมลงทุนคิดรวมกันเท่ากับ 2,680,000 บาท  แต่สินทรัพย์สุทธิหรือเม็ดเงินที่อยู่ในกองทุนที่ผมจะถอนออกมาใช้ได้คือ 6,557,545 บาท หรือมีเงินเพิ่มขึ้นเกือบ 4 ล้านบาท   ผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ตามที่รายงานโดยผู้จัดการกองทุนคือประมาณปีละ 14.4% แบบทบต้น  เงินก้อนแรกที่ผมลงทุนน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 8 เท่าตัว  ตรงกันข้าม  ถ้าผมเก็บเงินทั้งหมดฝากธนาคารทุกปีด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากเงินของผมอาจจะเพิ่มขึ้นมาเป็นไม่เกิน 3 ล้านบาท

ผมเริ่มลงทุนในกองทุน LTF ตั้งแต่เริ่มต้นโดยรัฐบาลเช่นกันในปี 2547 หรือ 2 ปีหลังจากการลงทุนใน RMF และก็เป็นปีสุดท้ายที่ผมทำงานกินเงินเดือน  การลงทุนของผมหลังจากนั้นก็จะเป็นการลงทุน “คู่กัน” หรือลงทุนเท่ากันและพร้อมกันกับการลงทุนใน RMF ทุกปีจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 14 ปี  เงินลงทุนทั้งหมดของ LTF คือ 2,180,000 บาท  แต่ตัวเลขสินทรัพย์สุทธิในกองทุนก็คือ  4,277,075 บาท  ผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ในช่วง 14 ปีคือ 10.2% ต่อปีแบบทบต้น เงินก้อนแรกที่ลงไปน่าจะโตขึ้นมาเป็น 4 เท่าตัว   ผมคิดว่าผลตอบแทนต่อปีที่ต่ำลงของกองทุน LTF เมื่อเทียบกับ RMF มากทั้ง ๆ ที่ก่อตั้งห่างกันเพียง 2-3 ปี นั้น  น่าจะมาจากการที่กองทุน RMF ได้รับประโยชน์จากตลาดหุ้นที่บูมมากในปี 2546  อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนทบต้นในระดับ 10% ต่อปีแบบทบต้นเป็นเวลานานถึง 14 ปีก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ลงทุนเองหรือมีความสามารถในการลงทุนเป็นพิเศษ

โดยรวมแล้ว  ผมเองลงทุนทั้งใน RMF และ LTF เป็นเงิน 4,860,000 บาท ในช่วงเวลา 16 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 300,000 บาทเศษ ๆ  หรือเดือนละประมาณ 25,000 บาท  และเริ่มตอนที่ผมอายุประมาณ 50 ปี  จนถึงขณะนี้ผมก็มีเงินสะสมที่สามารถนำมาใช้ได้จำนวนประมาณ 10.8 ล้านบาท  เงินจำนวนนี้ถ้าผมนำไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นและสามารถได้ผลตอบแทนปีละ 10%  ปีหนึ่งผมก็จะมีกำไรหรือรายได้ ประมาณ 1 ล้านบาทเศษ ๆ  หรือเดือนละประมาณ 90,000 บาท  ซึ่งก็เป็นรายได้ที่น่าจะทำให้ผมสามารถอยู่ได้อย่างสุขสบายถ้าหากผมไม่ได้มีเงินจากแหล่งอื่นเลย  ว่าที่จริง รายได้จากการทำงานในทุกวันนี้ของผมก็อยู่ประมาณเท่า ๆ  กันนั่นแหละ

ประสบการณ์ของการลงทุนใน RMF และ LTF ของผมนั้น  ผมคิดว่าไม่มีอะไรพิเศษและเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับคนอื่น ๆ  ที่มีการศึกษาและพื้นฐานใกล้เคียงกัน   คนที่มีอายุ 50 ปีและมีรายได้ปีละ 1 ล้านบาทนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้มากหรือน้อย  การกันเงิน 30% หรือปีละ 300,000 บาท ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนักโดยเฉพาะเมื่อลูก ๆ เติบโตทำงานได้แล้วรวมถึงภาระผ่อนบ้านหรืออื่น ๆ  ถ้ามีก็น่าจะหมดลง   สิ่งที่ต้องตัดสินใจก็คือ  การเลือกที่จะลงทุนในหุ้นให้สูงที่สุดและการมีวินัยที่จะต้องลงทุนทุกปีหรือทุกเดือนและไม่นำเงินออกไปใช้ก่อนเกษียณ  ทั้งหมดนั้นต้องอาศัยศรัทธาหรือความเชื่อมั่นในการลงทุนระยะยาว   ที่จริงผมเองสามารถที่จะถอนหรือขายหน่วยลงทุนทั้ง RMF และ LTF ได้ทั้งหมดตั้งแต่อายุ 55 ปีแล้วแต่ผมก็ไม่ได้ทำและยังลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ จนเกิน 60 ปี  ผมคิดว่าตราบใดที่ผมยังมีรายได้ผมก็จะไม่ใช้เงิน “เพื่อการเกษียณ”  นี่ก็เป็น “วินัย” อีกข้อหนึ่งที่ควรยึดถืออย่างเคร่งครัด

แน่นอน  อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต  สิ่งที่เกิดขึ้นกับการลงทุนใน LTF และ RMF ของผมในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาอาจจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอีก 16 ปีข้างหน้า  บางทีมันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกในตลาดหุ้นไทยแต่มันก็อาจจะเกิดในตลาดของประเทศอื่นก็ได้  ไม่มีใครรู้   การลงทุนนั้นมีความเสี่ยงเสมอ  อย่างไรก็ตาม  ประวัติศาสตร์สอนเราว่าในระยะยาวแล้ว  หุ้นเองกลับมีความเสี่ยงน้อยลงและโอกาสที่หุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตราสารการเงินอื่นนั้นมีน้อยมาก ๆ  ดังนั้น  ถึงวันนี้ผมเองก็ยังคิดว่าคนกินเงินเดือนหรือคนมีรายได้จากการทำงานและอายุไม่เกิน 50 ปีนั้น  ควรที่จะต้องลงทุนในหุ้นไม่ว่าจะผ่านเครื่องมืออะไรในอัตราส่วนที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้  และถ้าสามารถลงทุนเป็นเงินถึง 30% ของรายได้แล้วละก็  อนาคตการเงินหลังเกษียณก็น่าจะสดใสและไม่เป็นภาระกับใครเลย