America เขา 4.0 มาเป็น 100 ปีแล้ว

America เขา 4.0 มาเป็น 100 ปีแล้ว

การออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้พบปะ พูดคุย และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่หลากหลายนั้นทำให้เราได้ข้อมูลที่เรียกว่า ‘First Hand’

คือแบบจากแหล่งข่าวโดยตรงเลย ซึ่งมันลึกซึ้งกว่าการนั่งดูข่าวสารต่างๆจากทีวี หรือหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ที่บ้านแบบเทียบไม่ติดเลยครับ

สำหรับการเดินทางมาอเมริกาในรอบนี้ ผมได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองเขาในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยนโยบาย “America Comes First” ซึ่งจากการได้พูดคุยกับคนอเมริกันหลายต่อหลายคนก็บอกว่านโยบายนี้ได้ผลอย่างเห็นได้ชัดเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น ผู้คนเริ่มออกมาใช้จ่ายเงินกันมากขึ้น และอีกอย่างที่ชัดเจนคือการลงทุนในการทำ Infrastructure ที่มากขึ้น ขนาดผมเดินทางอยู่ไม่กี่เมืองนะครับ ซึ่งทริปนี้ผมมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของชนชาติอเมริกันในมุมมองแบบที่เขาอยากจะนำเสนอออกไปให้ชาวโลกได้เห็น ซึ่งบอกเลยว่าน่าสนใจมากจนอยากแชร์เลยล่ะครับ

ทริปนี้ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหลวงอย่างวอชิงตัน ดี.ซี. และได้เรียนรู้วิธีการคิดของชาติเขาจากการเที่ยวชมมิวเซียมหลายๆที่ ซึ่งทำให้ผมรู้ว่า มิวเซียมของเขาไม่ใช่การนำสิ่งของเก่าแก่มาตั้งโชว์ให้ดูแค่เพียงเท่านั้นแต่เขามีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจเอามากๆ อย่าง National Air and Space Museum ที่เขาต้องการจะบอกเล่าให้คนอเมริกันได้ภาคภูมิใจในฐานะชาติที่บุกเบิกการบินของสองพี่น้องตระกูลไรท์ หรือการเล่าเรื่องราวเมื่อตอนบุกเบิกอวกาศที่ในตอนเริ่มต้นนั้นอเมริกาตกเป็นรองโซเวียตเพราะโซเวียตเริ่มบุกเบิกด้านอวกาศก่อนเป็นเจ้าแรกและนำหน้าไปเยอะทีเดียว แต่อเมริกาก็เลือกที่จะทำสิ่งที่แตกต่างคือการส่งคนไปดวงจันทร์ ซึ่งที่มิวเซียมเขาก็ไม่ได้เอาเครื่องบินเก่าๆ หรือยานอวกาศมาวางไว้เฉยๆ แต่กลับมีการเล่าเรื่องราวที่จะทำให้คนของเขารู้สึกอิน และภาคภูมิใจในชาติของเขาไปด้วย แม้ไม่ใช่ชาติแรกที่เริ่มบุกเบิกก็ตาม 

หรือใน National Museum of African American History and Culture อันนี้น่าสนใจมากๆ เขาเล่าถึงชีวิตของคน African-American หรือชาวอเมริกันผิวดำตั้งแต่สมัยถูกจับมาเป็นทาส จนถึงการต่อสู้กว่าจะได้มาซึ่งอิสรภาพและสิทธิเสมอกับคนผิวขาว และยังมีส่วนที่ยกย่องชาวอเมริกันผิวดำที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ นักร้อง นักดนตรี นักแสดง และนักการเมือง เรียกว่าดูแล้วก็ต้องชื่นชมเขาเลยว่ามีจิตวิทยาในการพยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติมากๆ เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นปัญหาแล้วเขาก็สร้างการสื่อสารผ่านเครื่องมือต่างๆ ของรัฐ และสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ มาทำให้คนของเขาภูมิใจในชาติและเผ่าพันธุ์ รวมถึงชนกลุ่มน้อยอย่าง Red Indians ด้วยนะครับ ซึ่งเขามีมิวเซียมแยกออกมาต่างหากเลย

ที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์คือ National Museum of American History อันนี้ผมเคยมาดูแล้วรอบหนึ่งหลังเหตุการณ์ 9/11 เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆเลย ตอนนั้นเขาเอาธงชาติอเมริกาที่เคยแขวนไว้ที่ World Trade Center มาตั้งไว้เลยแล้วมีนิทรรศการพิเศษเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่กลับมารอบนี้มีเนื้อหาเปลี่ยนไปนิดหน่อยแต่สิ่งที่ผมจับใจความได้คือเขาเลือกที่จะสื่อสารเรื่อง “The Nation We Build Together” ซึ่งเรื่องราวก็เป็นเรื่องของทุกภาคส่วนที่ช่วยกันสร้างให้เป็นชาติอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ เขาสดุดีประธานาธิบดีของเขาทุกคน รวมถึงนักคิด ผู้ค้นพบทั้งหลายของเขาที่สร้างสิ่งประดิษฐ์มากมายให้โลก ผู้สร้างภาพยนตร์ คนวงการเพลงที่สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆและทำให้คนอเมริกันเป็นที่รู้จักยิ่งใหญ่ในสายตาของคนทั้งโลก นักกีฬา นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Microsoft, Apple และอีกมากมาย 

หรือแม้กระทั่งธุรกิจอาหารที่ถึงแม้จะไม่ได้หรูหราแต่ก็สร้างวัฒนธรรมฟาสต์ฟู้ดออกไปทั่วโลก แถมเขายังมี Section ที่นำเสนอธงชาติและเพลงชาติของเขาเลยด้วย ซึ่งสำหรับผมแล้ว นอกจากเพลงชาติไทยก็มีเพลงชาติอเมริกานี่แหละที่ร้องตามได้เลยเพราะฟังบ่อย

“Freedom not free” นั้นคือการสะท้อนจิตวิญญาณแบบอเมริกันได้เป็นอย่างดีครับ อย่างสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นสงครามที่อเมริกาแพ้ก็ถูกมานำเสนอในมุมที่เป็นประวัติศาสตร์ที่เขาต้องจดจำ อย่างภาพที่ตำรวจเวียดนามใต้ยิงหัวทหารเวียดนามเหนือก็อยู่ในมิวเซียม เพียงแต่เล่าเรื่องต่างออกไป คือเป็นช่างภาพที่ถ่ายรูปนี้เล่าว่า “นายตำรวจเวียดนามใต้สังหารทหารเวียดนามเหนือด้วยปืนแต่เขาสังหารนายตำรวจท่านนี้ด้วยกล้องของเขา” เพราะภาพนี้เล่าเรื่องสั้นถึงความโหดร้ายของนายตำรวจที่ใช้ปืนยิงแต่ไม่ได้บอกว่าสาเหตุที่ต้องยิงว่าเป็นเพราะอะไร เพราะหลังจากรูปนั้นออกไปนายตำรวจท่านนั้นชีวิตก็ไม่ได้เป็นสุขเลยมีแต่คนประนามเขา จนช่างภาพต้องออกมาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังภาพนี้ให้กระจ่างนี่แหละครับเห็นมิวเซียมเขาแล้วต้องบอกเลยว่าคนอเมริกันคงภาคภูมิใจในชาติของเขามากแน่ๆ ผมมั่นใจเลยว่าเด็กรุ่นหลังๆ ของบ้านเขานี่ได้มาดูแล้วคงมีไฟในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ กันน่าดู

อเมริกากลายมาเป็นชนชาติชั้นนำด้วยการมีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาร่วม 100 ปีโดยคนทุกเชื้อชาติมาร่วมด้วยช่วยกันสร้าง เพราะอเมริกานั้นเป็นสถานที่ๆรวมเอาคนชนชาติต่างๆที่มองหาโอกาสใหม่ในชีวิตแล้วก็มาสร้างนวัตกรรมไว้ที่นี่ ซึ่งมันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะสร้างความภาคภูมิใจในชาติของเราผ่านรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งแบบที่อเมริกาทำก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่น่าสนใจ และน่าเอามาปรับใช้กันดูบ้างนะครับ