'หุ้นไทย' เด่นกว่า 'ตราสารหนี้'

'หุ้นไทย' เด่นกว่า 'ตราสารหนี้'

ตลาดหุ้นไทยยังคงซื้อขายอยู่ในกรอบมูลค่า P/E ระหว่าง 12-16 เท่า ถือว่าปกติ

การลงทุนในตลาดหุ้นยังคงให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดตราสารหนี้ในปี 2560 อย่างไรก็ดี นักลงทุนอาจเริ่มหวาดระแวงว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ยังคงเดินทางปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ตลาดหุ้นจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการเงินของบริษัทจดทะเบียนเพิ่ม
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นจะสะท้อนความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยขึ้นก็ต่อเมื่อมูลค่าหุ้นอยู่ในภาวะสูงเกินจริง หรือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสะท้อนความร้อนแรงเกินควรของภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนมีภาวะหนี้สินมากเกินความเหมาะสม (สัดส่วนหนี้สินต่อทุน สูงมากกว่า 2 เท่าขึ้นไป)

การลงทุนในตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นกันจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในระบบการเงิน ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสการลงทุนในภาวะอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น นั่นหมายถึง อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยที่นักลงทุนได้รับในวันนี้จะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยในอนาคต กลไกของตลาดตราสารหนี้คือ นักลงทุนก็จะขายตราสารหนี้เมื่อสะท้อนมุมมองอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นในอนาคต ผลคือ นักลงทุนที่ถือตราสารหนี้ที่มีอัตราผลตอบแทนต่ำเกินไปก็อาจขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ได้ ยกเว้น นักลงทุนยอมถือตราสารหนี้นั้นจนกระทั่งครบกำหนดอายุ ซึ่งจริงก็คือ ท่านเสียโอกาสเอาเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ประเภทเดียวกันแต่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า

ปัจจุบัน สิ่งที่เรากังวลคือ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลไทยใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยรัฐบาลสหรัฐอายุใกล้เคียงกัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทยควรอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยยังคงซื้อขายอยู่ในกรอบมูลค่า P/E ระหว่าง 12-16 เท่า ซึ่งถือว่าปกติ นั่นหมายความว่า ตลาดตราสารหนี้ของไทยดูจะฟองสบู่กว่าตลาดหุ้นเสียอีก

ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจไทยมีอัตราขยายตัวได้ดีขึ้นจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา แสดงว่าอัตราขยายตัวกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะดีขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น อัตราผลตอบแทนเงินปันผล หรือ มูลค่าหุ้นซึ่งวัดด้วย สัดส่วนกำไรต่อหุ้น (P/E) ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นได้
นักลงทุนหลายท่านอาจแย้งว่า ทฤษฎีในตำราจะใช้กับการลงทุนได้จริงหรือ ข้อมูลในอดีต ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในตลาดหุ้นยังคงให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดตราสารหนี้จริงในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี และ อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอย่างชัดเจน

ดังนั้น เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนสำหรับตลาดหุ้นไทยมากกว่าการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ แม้ว่าเราอาจเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่หากพิจารณาจากอัตราผลตอบแทน ต่อค่าความเสี่ยง ตลาดหุ้นก็ยังน่าสนใจกว่านั่นเอง