ผลของปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ต่อตลาดแรงงาน ภาคการผลิต ระบบศก.*

ผลของปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ต่อตลาดแรงงาน ภาคการผลิต ระบบศก.*

บทความชิ้นนี้เป็นการสรุปผลการบรรยายจากงาน สัมมนาทางวิชาการ ตลาดแรงงาน และโอกาสมีงานทำในอนาคต

ที่จัดโดย องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และ สภาองค์กรนายจ้างแห่งประเทศไทย เมื่อต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา 

ในเบื้องต้น การวิจัยระบุว่า คนจะตกงานจำนวนมากจากหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ต้องมาทำงานแทนที่ โดยเฉพาะในรายงานของ “แมคคินซีย์ โกลบอล” ระบุว่าจะมีคนมากกว่า 800 ล้านคนทั่วโลกต้องสูญเสียตำแหน่งงานให้กับหุ่นยนต์อัตโนมัติ ระหว่างปี ค.ศ. 2016-2030 หรือคิดเป็นผลกระทบต่อคนประมาณ 1 ใน 5 ของตลาดแรงงาน

เนื่องจากถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ และ แรงงานจำเป็นต้องไปฝึกทักษะใหม่ๆ เพื่อทำหน้าที่ในการควบคุมเครื่องจักรอัตโนมัติมากขึ้น หรือ งานที่เกี่ยวพันกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตำแหน่งงานที่ต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันจะได้ผลกระทบน้อยกว่า

งานบางประเภทที่ต้องใช้ทักษะทางอารมณ์ ทักษะทางสังคมและความคิดสร้างสรรค์ ยังไม่สามารถถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีได้ แต่การนำระบบหุ่นยนต์มาใช้ในระบบเศรษฐกิจอาจกดดันให้ค่าแรงลดลงโดยเฉลี่ย 0.5% เป็นอย่างน้อย

ทางด้านองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หรือไอแอลโอ ประเมินว่า ในสองทศวรรษข้างหน้า ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ จะส่งต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อตำแหน่งงาน การจ้างงานและกิจการต่างๆในประเทศไทย 

ไอแอลโอประมาณว่าร้อยละ 44 ของการจ้างงาน (กว่า 17 ล้านตำแหน่ง) ในไทยเผชิญความเสี่ยงสูง ที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า ยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร พนักงานเคาเตอร์ และพนักงานตามเครือข่ายสาขาต่างๆ (ซึ่งเครือข่ายสาขาอาจปิดลงจากการเพิ่มขึ้นของการทำธุรกรรมผ่านทางออนไลน์มากขึ้นตามลำดับ) 

แรงงานทั่วโลก รัฐบาล นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องหันมาให้ความสนใจในการกำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อวางแผนรับมือกับภาวะดังกล่าว ต้องมีการออกแบบระบบเศรษฐกิจใหม่ เพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้เกิดความเป็นธรรม สร้างระบบแรงงาน ตลาดแรงงานที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยไม่ขัดขวางความก้าวหน้าของนวัตกรรม 

เรากำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านการอภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่นเดียวกับที่โลกเคยเชิญมาแล้วในช่วงปฏิวัติ (อภิวัฒน์) อุตสาหกรรมครั้งแรกตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 18 ต่อเนื่องเรื่อยมา เริ่มตั้งแต่อุตสาหกรรม 1.0 จนถึง อุตสาหกรรม 4.0

การพัฒนาอย่างก้าวกระโดด การแพร่กระจายตัวอย่างรวดเร็วของความเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยุคอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of things) กำลังปรับโฉมหน้าทุนนิยมโลกาภิวัฒน์รอบใหม่ พลิกโฉมเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ระบบการผลิต ระบบห่วงโซ่อุปทาน และการตลาดและการเข้าถึงผู้บริโภค 

ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อระบบแรงงานตลาดแรงงาน มาตรฐานแรงงาน ทรัพยากรมนุษย์อย่างมาก โดยเฉพาะระบบการผลิต และระบบเศรษฐกิจที่ใช้ระบบอัตโนมัติของเครื่องจักร สมองกลอัจฉริยะที่สามารถมาทำหน้าที่และทำงานแทนคนจำนวนมาก ด้วยความแม่นยำที่มากกว่า และ มีประสิทธิภาพสูงกว่า 

สถาบันการศึกษาต่าง ๆ จึงต้องเร่งส่งเสริมพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพ ที่สามารถเป็นฐานในการสร้างนวัตกรรม และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบวิธีการเรียนการสอน ตลอดจนเทคโนโลยีทางการศึกษาเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  เพื่อให้แรงงานไทยสามารถทำงานได้ในตลาดแรงงาน ที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก 

ทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้ต้องทำงานกับระบบอัตโนมัติมากขึ้น ทำงานกับหุ่นยนต์ และสมองกลอัจฉริยะ 

ระบบเสมือนจริง และ ระบบออนไลน์ได้ทำให้ระบบการผลิต ระบบการกระจายสินค้าและห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเก่า และทำให้กิจการอุตสาหกรรมและการจ้างงานจำนวนหนึ่งหายไป

สิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) กำลังเป็นแนวโน้มแห่งอนาคตเช่นเดียวกัน แนวคิดในการแชร์การใช้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเป็นเจ้าของสิ่งที่ใช้  

ไอแอลโอชี้ว่า สังคมที่เน้นการเป็นเจ้าของทุกสิ่งอย่าง ได้สร้างสังคมที่ผู้คนล้วนหนี้สินเกินตัว สะสมเกินพอดี อันนำมาสู่วิกฤติของระบบทุนนิยมโลก 

การบริโภคร่วมกัน (Collaborative Consumption) ที่ปัจเจกบุคคลเป็นผู้ขายตรงและเป็นผู้บริโภคตรง (P2P) แต่ละบุคคลเป็นได้ทั้งผู้ซื้อหรือผู้ขาย แล้วแต่ว่าต้องการเป็นบทบาทใด ในเวลาใด

 โมเดลธุรกิจแบบนี้ ส่งผลต่อพฤติกรรมในการตัดสินใจว่าจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยตรงหรือว่าเช่าใช้ สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อยอดขายสินค้า ตลาดแรงงาน การจ้างงาน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะเดียวกัน การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ การลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ทำให้ขาดแคลนแรงงาน ระบบเศรษฐกิจจำเป็นต้องใช้ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และสมองกลอัจฉริยะในการทำงานและในระบบการผลิตมากขึ้น 

ฉะนั้น ในกระบวนการผลิต ต้องทำให้ “มนุษย์” ทำงานร่วมกับ “หุ่นยนต์” และ “สมองกลอัจฉริยะ” ได้อย่างผสมกลมกลืนซึ่งต้องอาศัยระบบมาตรฐานแรงงาน 

ลักษณะตลาดแรงงาน และระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามพลวัตเหล่านี้ และต้องปรับตัวสู่การทำงาน และการผลิตที่ใช้ Capital Intensive and Knowledge Intensive Investment 

การปฏิรูปการศึกษาต้องตั้งโจทย์ว่า ประเทศต้องการคนแบบใดในอนาคต ระบบการศึกษาต้องผลิตคนแบบนั้น

ในหนังสือชื่อ A Visionary Nation – Four Centuries of American Dreams&What Lies Ahead โดย Zachary Karabell ได้ข้อสรุปว่า การที่อเมริกาเป็นมหาอำนาจ เจริญรุ่งเรืองทั้งที่เป็นประเทศเกิดใหม่เมื่อ 200 กว่าปีมานี่เอง เพราะ เสรีภาพ และระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ที่เข้มแข็งมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะเสรีภาพในการคิด การวิพากษ์วิจารณ์ และ การประกอบการ รวมทั้ง ความสามารถในการเข้าถึงโอกาสอย่างเสมอภาค ทำให้ผู้คนที่มีความรู้ความสามารถปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ การศึกษาวิจัยและนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้และเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมแห่งเสรีภาพทางวิชาการ

สหรัฐจัดเป็นสังคมอุดมปัญญา มีงานวิจัย งานประดิษฐ์ และนวัตกรรมมากมายเกิดขึ้นในประเทศช่วง 200 ปีที่ผ่านมา สหรัฐ จึงมีระบบเศรษฐกิจแบบฐานความรู้มากกว่าประเทศใดๆ ในเวลานี้ 

ขณะที่เกาหลีใต้ และไต้หวัน ก็เดินหน้าพัฒนาตัวเองสู่ ระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (KNOWLEDGE-BASED ECONOMY) ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่การผลิต  การแพร่กระจายสินค้า และบริการ อาศัยความรู้เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพื่อสร้างความเติบโต ความมั่งคั่ งและสร้างงานในทุกภาคเศรษฐกิจ

ความรู้ และนวัตกรรมจึงเป็นปัจจัยหลัก ในการพัฒนามากกว่าเงินทุนและแรงงาน

การวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มีความสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานความรู้ และทำให้องค์กรต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจและสังคมจำเป็นต้องปรับตัวไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่

ปัจจัยพื้นฐานของการสร้างเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม คือ การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การลงทุนด้านการศึกษา การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การลงทุนทางด้านข้อมูลสารสนเทศ การสื่อสารโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์

ขณะเดียวกัน นวัตกรรมในกระบวนการผลิต และกระบวนการทำงาน ความก้าวหน้าเรื่องระบบเทคโนโลยีอัตโนมัติ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และสมองกลอัจฉริยะ และ นวัตกรรมใหม่ๆ ส่งผลต่อตลาดแรงงาน จึงเห็นว่า ตลาดแรงงานในอนาคตจะต้องการแรงงานที่มีความรู้สูงขึ้น และมีคุณวุฒิสูงขึ้น

งานของแรงงานทักษะต่ำหรือไร้ทักษะจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร และหุ่นยนต์ มากกว่าแรงงานที่มีค่าตอบแทนสูง หรือค่าจ้างสูงกว่าต้นทุนการใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์จะมีความเสี่ยงในการสูญเสียตำแหน่งงานมากกว่า แรงงานที่มีค่าจ้างต่ำ

Richard Murnance และ Frank Levy นักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ เขียนหนังสือเรื่อง The New Division of Labour (2004) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า งานบางอย่างจะหายไป งานบางอย่างจะเพิ่มขึ้น และจะเกิดการแบ่งงานทำกันใหม่ 

งานที่มีลักษณะทำซ้ำๆ ใช้กำลังกาย มีลักษณะเป็นกิจวัตร เป็น Routine Manual จะถูกแทนที่โดย เทคโนโลยีอัตโนมัติ เช่น งานประกอบชิ้นส่วนในสายการผลิต กำลังแรงงานบางส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน จะถูกปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่ งานบันทึกข้อมูล ตลาดแรงงานของงานกลุ่มนี้จะหดตัวลงเรื่อยๆ

 ขณะที่ตำแหน่งงานใหม่ๆ จะขยายตัวในงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ และงานที่ยุ่งยากในการเอาเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้จะยังขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ

องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ คาดว่ามีหลายอาชีพที่จะถูกแทนที่โดยการทำงานของปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น ได้แก่ ผู้ดูแลออฟฟิศ นักบัญชี นักกฎหมาย นักพัฒนาเว็บไซต์ นักการตลาดออนไลน์ นักข่าวและบรรณาธิการ ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ สายการผลิตในโรงงาน เป็นต้น หากประเมินในกรณีของไทยอาจกระทบต่อตลาดแรงงานไม่ต่ำกว่า 30-40% ใน 10-20 ปีข้างหน้า

แต่เราไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลถึงผลกระทบของเทคโนโลยีต่อตลาดแรงงานมากเกินไป หากเตรียมตัวรับมือให้ดี จะเป็น “โอกาส” มากกว่า “ความเสี่ยง”  

แม้ระบบการผลิตอัตโนมัติกำลังจะก่อให้เกิดภาวะว่างงาน ถาวรขึ้นในบางตำแหน่งงาน แต่หากระบบการผลิตโดยหุ่นยนต์และเทคโนโลยีอัตโนมัติสามารถสร้างความมั่งคั่ง และทำให้ผลกำไร รายได้เพิ่มขึ้น และมีการกระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ตำแหน่งงานใหม่ๆย่อมเกิดขึ้นจากการการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Growth)

 /////

* ชื่อเต็มเรื่อง: 

ผลของปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์อัตโนมัติ

ต่อตลาดแรงงาน ภาคการผลิตและระบบเศรษฐกิจ