เบื้องหลังซีอีโอ Unilever เจอทรัมป์ ในบรรยากาศอึดอัด ***
ผมมีโอกาสได้นั่งจับเข่าสัมภาษณ์ Paul Polman ประธานบริหารคนดังระดับโลกของ Unilever ที่มาเมืองไทยอีกครั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้
คำถามแรกคือเรื่องโดนัลด์ ทรัมป์
ทรัมป์เกี่ยวกับยูนิลีเวอร์ตรงไหน ตรงที่พอลเป็นคนรณรงค์ในระดับสหประชาชาติว่าด้วยการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างเข้มแข็ง อีกทั้งยังถือเป็นผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจ ที่ยืนยันว่าธุรกิจจะยั่งยืนได้จะต้องทำทุกอย่างในองค์กรให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ผมแอบรู้มาว่พอลเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้ไปเจอโดนัลด์ ทรัมป์ที่ทำเนียบขาวหลังจากเขาชนะเลือกตั้ง
ทรัมป์ประกาศช่วงหาเสียงว่าหากเขาได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะให้อเมริกาถอยจาก “ข้อตกลงปารีส” ว่าด้วยโลกร้อน ที่โอบามาเป็นแกนสำคัญในการชักชวนประเทศทั่วโลก มาร่วมลงนามเพื่อผลักดันการแก้ปัญหาระดับโลก
แต่ทรัมป์ไม่เชื่อเรื่อง Climate change และการที่สหรัฐไปรับปากว่าจะลดการส่งคาร์บอนขึ้นในชั้นบรรยากาศนั้นเป็นการบั่นทอนอุตสาหกรรมของอเมริกันเอง
คุณพอลกับคณะกรรมการเรื่องโลกร้อน ขอเข้าไปพบทรัมป์เพื่ออธิบายถึงความสำคัญของการที่สหรัฐ ควรจะต้องอยู่ในกรอบของข้อตกลงปารีส
แต่ไร้ผล
เพราะทรัมป์ไม่ยอมฟังเหตุผลใด ๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่ยืนยันว่าปัญหาโลกร้อนเป็นจริง แม้ 196 ประเทศได้ตกลงร่วมมือกันทำข้อตกลงนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยกันลดความรุนแรงของปัญหา
เดิมมีสองประเทศที่ไม่เข้าร่วมคือ นิคารากัวและซีเรีย แต่ถึงวันนี้สองประเทศนี้ก็ได้ยอมมาลงนามร่วมแล้ว
กลายเป็นว่าอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่ไม่ยอมเข้าร่วมเท่านั้น
“ทรัมป์มีความเชื่อว่าถ้าทุกประเทศทั่วโลกตกลงจะทำอะไรร่วมกัน คงจะเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับสหรัฐแน่นอน เหมือนที่เขาทำกับ TPP…” พอลบอกผมระหว่างการสัมภาษณ์
วิธีคิดของทรัมป์คือถ้าคนอื่น ๆ เห็นว่าอะไรดี นั่นย่อมแปลว่ามันไม่ดีสำหรับสหรัฐ
พอลบอกว่า พอทรัมป์ชนะเลือกตั้ง, เขาก็ขอพบประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เพื่ออธิบายถึงความสำคัญของการที่อเมริกาควรจะต้องดำรงบทบาทที่เป็นแกนของ “ข้อตกลงปารีส” เพราะโอบามา และจอห์น แคร์รี่ (ตอนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ) ได้เป็นหัวหอกในการทำให้เกิดความเห็นพ้องในเรื่องนี้มาก่อน
พอล บอกว่า การเจอกับทรัมป์ครั้งนั้น “เป็นประสบการณ์ที่อึดอัดสำหรับผมพอสมควร”
ซีอีโอของยูนิลีเวอร์บอกว่าประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐในการเดินตามแนวทางนี้ชัดเจนอยู่แล้ว แม้แต่นักการเมืองพรรครีพับบลิกันส่วนใหญ่ก็เชื่อเรื่องภัยจากโลกร้อน
แต่ทรัมป์ไม่ยอมเปลี่ยนใจ
“ทันทีที่ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะไม่เดินตามข้อตกลงปารีส เราก็เห็นคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยรณรงค์ให้อเมริกาอยู่ในกรอบของตกลงนั้น และเราก็ได้สร้างขบวนการใหม่ขึ้นมาซึ่งตอนนี้มี 4,600 บริษัท รัฐ และเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐ ที่ประกาศว่าจะคงอยู่กับข้อตกลงนี้โดยมีชื่อว่า We’re Still In ซึ่งเป็นการยืนยันว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ต้องการจะร่วมกันแก้ปัญหาโรคร้อนแม้ว่าประธานาธิบดีของพวกเขาจะไม่เห็นด้วยก็ตาม”
พอลเล่าด้วยความกระตือรือร้นที่จะผลักดันความเคลื่อนไหวที่ไปคนละทางกับทรัมป์
ผมถามว่าเมื่อทรัมป์ไม่เอาด้วยแล้ว “ข้อตกลงปารีส” จะล่มสลายหรือไม่
พอลตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ข้อตกลงนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่ง พลังเศรษฐกิจโลกจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของโลก”
เขาอธิบายว่าตามกติกาของข้อตกลงนี้ ประเทศที่จะขอออกจากกรอบนี้จะต้องใช้เวลา 4 ปี
“ผมก็เชื่อว่าถึงเวลานั้น เหตุผลต่าง ๆ คงจะทำให้อเมริกายังอยู่ในข้อตกลงนี้”
ผมบอกว่า “ถึงเวลานั้นทรัมป์จะยังอยู่หรือเปล่าล่ะ”
พอลยิ้มพร้อมกับบอกว่า “นั่นก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เราคงต้องตั้งอีกวงหนึ่งมาวิเคราะห์กัน”
ชาวยูนิลีเวอร์หลายร้อยคนที่มาร่วมฟังด้วยอย่างคึกคักวันนั้นฮากันดังลั่นไปทั่ว!
*** ชื่อเต็มเรื่อง:
เบื้องหลังซีอีโอ Unilever เจอทรัมป์
ในบรรยากาศอึดอัดเรื่องโลกร้อน!