มองโอกาสในตลาดหุ้นจีน

มองโอกาสในตลาดหุ้นจีน

มองโอกาสในตลาดหุ้นจีน

สวัสดีครับ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงท่ามกลางความกังวลเรื่องมาตรการของรัฐที่มุ่งคุมเข้มการก่อหนี้ของภาคเอกชนมากขึ้น โดยธนาคารกลางจีนเตรียมออกระเบียบใหม่เพื่อควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถือหุ้นกับธนาคารพาณิชย์ พร้อมด้วยการเตรียมใช้มาตรการอื่น เช่น จำกัดเงินกู้แก่ภาคธนาคารเงา  แม้ประเด็นเหล่านี้ นักลงทุนยังคงต้องติดตามกันต่อไป แต่ผมเชื่อว่าการคุมเข้มต่างๆ ที่เกิดขึ้นสะท้อนความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลจีนและจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจจีนในอนาคตมากยิ่งขึ้น และหากจะถามถึงความน่าสนใจในการลงทุนกับตลาดหุ้นจีน ผมยังคงมองว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาว

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะที่ผ่านมาสัญญาณเศรษฐกิจของจีนถือว่ายังคงอยู่ในระดับที่ดี โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องโดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายของภาครัฐ และแม้ว่า GDP จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงบ้างแต่ก็ยังคงรักษาอัตราการเติบโตอยู่ในระดับ 6-8% ส่วนมุมมองในระยะยาวนั้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP ของจีนในอีก 1 ทศวรรษข้างหน้าว่า เศรษฐกิจจีนอาจทะยานแซงหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และก้าวสู่ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยประมาณการ GDP ของจีนในปี 2573 ที่ 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ที่มา: PwC, The long view the global economic order change by 2050, Feb 2017)

ในแง่ของนโยบายภาครัฐ จะเห็นได้ว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมารัฐบาลจีนไมีแผนผลักดันประเทศให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตด้วยถาคอุตสาหกรรมการผลิต ไปสู่อุตสาหกรรมการบริหารและบริการ (Tertiary Industry) ที่ผนวกเอานวัตกรรมต่างๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญ และจะเห็นได้ว่าภาคการบริหารและบริการดังกล่าวมีสัดส่วนสูงถึง 51.6% ของ GDP ในปีที่ผ่านมา ทั้งยังมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2555 (ที่มา: National Bureau of Statistics of China, Feb 28,2017, World Bank 2016)  นอกจากนี้ การที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งล่าสุดควบคู่กับการกุมบังเหียนอำนาจฝั่งบริหารต่อเนื่อง ไม่เพียงเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของจีนเท่านั้น หากยังทำให้เชื่อมั่นได้ว่าการดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจในจีนจะยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจใหม่มีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจใหม่ของจีน บลจ. แอสเซท พลัส ยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary)  โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้ประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานภาคบริการ ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่สูงขึ้นของผู้บริโภคชาวจีนซึ่งครองสัดส่วนการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยสูงที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนสูงถึง 30% ของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยทั่วโลก (Bain&Company, Luxury Goods Worldwide Market Study, Fall-Winter 2016, 28Dec2016) โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางที่หันมาจับจ่ายใช้สอยในสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้นเนื่องจากมีรายได้คงเหลือจากการใช้จ่ายในปัจจัยสี่ และจะส่งผลให้อุตสาหกรรมประเภทสินค้าฟุ่มเฟือยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีก

และหากพิจารณาในแง่ราคา ตลาดหุ้นจีนก็ยังมีระดับ P/E ที่น่าสนใจ โดยปัจจุบันหุ้นจีนในดัชนี MSCI China ซื้อขายกันที่ Forward P/E 14.1 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ประมาณ 16.8 เท่า (ที่มา: Bank of America Merrill Lynch, 17Nov2017) ไม่เพียงเท่านั้น การที่ MSCI จะนำตลาดหุ้น A-Share เข้าไปรวมคำนวณในดัชนี MSCI Emerging Market จะเป็นปัจจัยที่หนุนให้ตลาด A-Share มีเงินทุนไหลเข้าเพิ่มมากขึ้นในอนาคตด้วย

สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงแต่ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หรือยังไม่ชำนาญการจับจังหวะเข้าลงทุน การลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นจีนกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจใหม่และการปฏิรูปเศรษฐกิจก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการสะสมโอกาสรับผลตอบแทนสูงในระยะยาวจากหุ้นจีน New Economy ครับ

ผู้ลงทุน “โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”