วัฒนธรรมแบบไหนที่สร้างการก้าวกระโดด

วัฒนธรรมแบบไหนที่สร้างการก้าวกระโดด

ถ้าเชื่อรายงานเศรษฐกิจที่ได้พบเห็นกันแทบทุกวัน คงบอกได้ว่าการเติบโตของบ้านเรา กับจีน เวียดนาม และสิงคโปร์ไม่เหมือนกัน

ถ้าเชื่อว่าวัฒนธรรมมีส่วนสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้เกิดขึ้นได้ คงเป็นประโยชน์ ถ้าจะดูกันว่าจีนกับสิงคโปร์มีมิติทางวัฒนธรรมใดบ้างที่เหมือนกัน และต่างกัน แล้วย้อนนำมิติที่เหมือนกันของ 2 ประเทศนี้มาเทียบกัน อาจพอบอกได้ว่าบ้านเมืองใดจะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะบ้านเมืองจะไปได้ไกลแค่ไหน ขึ้นกับคนในบ้านเมืองนั้น ซึ่งช่วยกันกำหนดวัฒนธรรมขึ้นมา กระโดดได้มากเท่าที่วัฒนธรรมตีกรอบไว้

เริ่มจากมิติวัฒนธรรมในด้านความมุ่งมั่นที่จะชนะ จีนมีมากกว่าสิงค์โปร์เกือบยี่สิบจุด เวียดนามจะพอๆ กับสิงคโปร์ ในขณะที่บ้านเราต่ำกว่าเวียดนามอยู่เกือบสิบจุด 

ดังนั้น ถ้าเชื่อว่าสิงคโปร์ก้าวกระโดดได้ดี จีนจะก้าวกระโดดได้มากกว่า เห็นได้จากหลักฐานสนับสนุนอยู่หลายเรื่อง ปัญญาประดิษฐ์วันนี้จีนไปไกลมาก และปัญญาประดิษฐ์เป็นฐานสำหรับการก้าวกระโดดในอนาคตอีกด้วย

เวียดนามจะกระโดดไปไกลไม่เท่าจีน แต่ไม่ห่างจากสิงคโปร์มากนัก ไม่ค่อยชัดว่าบ้านเราจะกระโดดไปไกลเหมือนจีน เพราะแข่งสิบเรื่อง จีนต้องการชนะแปดเรื่อง สิงคโปร์เจ็ดเรื่อง เวียดนามเกือบห้าเรื่อง แต่เรามุ่งมั่นจะคว้าชัยชนะแค่สามเรื่อง

มิติวัฒนธรรมด้านการยึดมั่นในสิ่งที่คุ้นเคยมากน้อยเพียงใด หมายถึงว่า จะเปลี่ยนอะไรที่เคยเชื่อเคยทำกันจนคุ้นเคยยากเย็นเต็มที ชอบกฎกติกาที่ตายตัว ขั้นตอนมาก่อนผลลัพธ์ ได้ผลดีเลวแค่ไหนไม่สนใจ ตราบเท่าที่วิธีการยังคงเหมือนเดิม เพราะไม่ค่อยสบายใจกับอะไรที่ไม่คุ้นเคย ทนการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่คุ้นชินไม่ค่อยได้ เป็นวัฒนธรรมที่เตะบอลด้วยท่าเดิมๆ สำคัญกว่าการทำประตูให้ได้ชัยชนะ 

สิงคโปร์ยอมอยู่ความความคุ้นเคยแค่แปดจุดจากหนึ่งร้อยจุด จีนยอมรักษาเรื่องที่คุ้นเคยไว้หนึ่งเรื่องจากสามเรื่องที่ทำงานอยู่ หรือประมาณสามสิบจุด เวียดนามเท่ากับจีนพอดี สิงคโปร์จึงเริ่มการก้าวกระโดดได้เร็วกว่า และเปลี่ยนจากเดิมได้มากกว่าจีนและเวียดนาม จากคนที่เป็นกรรมกรท่าเรือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นคนในประเทศพัฒนาแล้วเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 50 ปี 

ถ้ายอมรับว่าจีนได้ก้าวกระโดดไปแล้วด้วยอัตราการเปลี่ยนแปลงระดับใด เวียดนามจะก้าวกระโดดด้วยอัตรานั้นด้วย มิตินี้บ้านเราสูงถึงหกสิบกว่าจุด เรายืนยันวิธีการเดิมที่คุ้นเคยหกเรื่อง จากทุกสิบเรื่องที่ต้องทำ

มิติด้านการเตรียมวันนี้เพื่อวันพรุ่งนี้ หรือความกล้าที่จะทำบางอย่างในวันนี้ เพื่อให้ได้ผลดีในวันหน้า ระดับในการยอมลำบากวันนี้ เพื่อตระเตรียมไว้ให้กลายเป็นความสบายในวันหน้า 

จีนกับสิงคโปร์มีระดับสูงเจ็ดสิบแปดสิบจุด จีนยอมลำบากวันนี้แปดเรื่องจากสิบเรื่องที่ต้องทำในวันนี้ เพื่อให้มีโอกาสสบายในวันหน้า คล้ายๆ กับสิงคโปร์ เวียดนามยอมลำบากวันนี้หกเรื่องจากสิบเรื่อง จีนจึงก้าวกระโดดได้ไม่ต่างจากสิงคโปร์ จนผงาดเป็นผู้นำโลกด้านเศรษฐกิจในไม่ช้า เวียดนามน่าจะมีโอกาสก้าวกระโดดได้ แต่จะไปได้ไกลไม่เท่าจีนและสิงคโปร์ 

มิตินี้บ้านเรายอมลำบากวันนี้เพื่อตระเตรียมไว้สำหรับวันหน้าแค่สามเรื่องจากสิบเรื่อง ดังนั้นถ้าจีนกระโดดได้แปดก้าว เวียดนามจะกระโดดได้หกก้าว บ้านเราจะกระโดดได้แค่สามก้าว

ระดับของวัฒนธรรมในความอดกลั้นต่อความอยากได้อยากมีนั้น จีนอยู่แค่สองเรื่องจากสิบเรื่องที่อยากได้อยากมี พอมีคนมากร่วมเข้าไปด้วยเลยก้าวกระโดดได้หลายด้าน เวียดนามอดกลั้นได้สี่เรื่องจากสิบเรื่อง ดังนั้นก้าวกระโดดได้ไม่มากเรื่องเหมือนจีน แต่จะก้าวกระโดดได้หลายด้านกว่าสิงคโปร์ ซึ่งอาจดูแปลกๆ แต่ขอให้ลองนึกดูดีๆ จะพบว่าสิงคโปร์เขามีโฟกัสในบางเรื่อง ทิ้งบางเรื่อง บ้านเราอดกลั้นได้ครึ่งหนึ่ง อยากทำสองเรื่อง จะกักไว้หนึ่งเรื่องเสมอ

วัฒนธรรมเป็นเหมือนดีเอ็นเอที่บอกว่าเราเป็นอะไรได้แค่ไหน 

แต่วัฒนธรรมปรับเปลี่ยนได้ ใครอยากก้าวกระโดดก็ต้องมาปรับดีเอ็นเอกันก่อน ถ้ายังยึดมั่นกับอะไรที่คุ้นเคย แพ้เป็นพระ ไม่ยอมลำบากวันนี้เพื่อวันหน้าที่ดีกว่า และอยากได้สองเรื่องกักไว้หนึ่งเรื่องเสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ตามยถากรรมเท่านั้น