จีดีพีไทย โตรองบ๊วยในอาเซียน!
มีข่าวดีและข่าวร้ายมาบอกครับ
ข่าวดี: GDP ของไทยเติบโต 3.8% ในปี 2560 และจะโต 4-5% ในปี 2561 นี่คือคำพูดของ
ท่าน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา THAILAND 2018 ว่า "ในปี 2561 หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) มีโอกาสจะเห็นได้โตระดับ 4-5% ซึ่งจะถือว่าเป็นเศรษฐกิจที่สดใสกว่าปี 2560 ที่หลายหน่วยงานเห็นสอดคล้องกันว่า GDP ปีนี้จะโตได้ระดับ 3.8%" (https://goo.gl/wkxzd3) ตั้งแต่ปี 2557 ที่ คสช.เข้ามานั้น เศรษฐกิจไทยเติบโตเพียงแค่ 0.8% เท่านั้น แต่บัดนี้เติบโตมา 3.8% แล้ว นับเป็นสิ่งที่น่ายินดีในแง่หนึ่ง
ข่าวร้าย: GDP ไทย โตรองบ๊วยในอาเซียน อันที่จริง ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเซียให้ประเทศไทยเติบโตที่ 3.5% (https://goo.gl/R1SVoo) การที่เศรษฐกิจไทยเติบโตนั้น ก็เติบโตล้อตามการเติบโตของทั้งภูมิภาค ไม่ใช่ว่าเราโดดเด่นเพียงรายเดียว
อันที่จริงเศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในอาเซียนยกเว้น สิงคโปร์และบรูไนที่จัดเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวสูงกว่าไทยประมาณ 5-7 เท่า
มาเจาะลึกบรูไนและสิงคโปร์สักนิด
บรูไนนั้นเป็นประเทศที่รวยกว่าไทยราว 5 เท่าเมื่อเทียบจากรายได้ประชาชาติต่อหัว ประเทศนี้ส่งออกน้ำมัน การที่ราคาน้ำมันไม่กระเตื้องมาหลายปี อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเหลือเพียง 0% เท่านั้น แต่ประเทศนี้รวยมากๆ จึงเทียบกับไทยได้ยาก
อีกประเทศหนึ่งก็คือสิงคโปร์ ซึ่งมีรายได้ประชาชาติต่อหัวสูงกว่าไทย 7 เท่า ประเทศนี้ไม่ยอมให้ต่างชาติมาลงทุนเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เคยบูมเอามากๆ ในช่วงหลายปีก่อนจึงซบเซาหนัก เพราะรัฐบาลสิงคโปร์ (ไม่เห็นนักพัฒนาที่ดินและชาวต่างชาติเป็นพ่อ) สั่งให้ต่างชาติที่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ต้องเสียภาษีค่าซื้อถึง 15% และหากขายต่อในระยะสั้น (หวังเก็งกำไร) ก็ต้องเสียภาษีหนัก (ให้เข็ดหลาบ) สิงคโปร์จึงไม่แคร์กับตัวเลข GDP นัก
หลายท่านอาจไม่ทราบว่าเศรษฐกิจในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงปี 2554-2557 นั้น ปรากฏว่าในปี 2555 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่าเศรษฐกิจเติบโตถึง 7.2% (https://goo.gl/Zq9SYS) แต่มาค่อย ๆ ลดลงในปี 2556 และ 2557 ที่เริ่มมีเกมเขย่ารัฐบาล จนกระทั่งรัฐบาลในสมัยนั้นแทบจะทำงานอะไรไม่ได้ นี่อาจถือเป็นผลพวงของการเมืองต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ
เศรษฐกิจของชาติมีขนาดปีละ 9 ล้านล้านบาท หากถูกการเมืองทำร้าย กระทบไปสัก 3% ก็เป็นเงินถึง 270,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว นี่คือความสูญเสียโอกาสของประชาชาติไทยจากความไม่สงบทางการเมือง และเป็นรากเหง้าที่ทำให้คนไทยจนมาก ๆ ในขณะนี้
จะสังเกตได้ว่าประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทยนั้น ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา ประเทศเหล่านี้แรงงานยังมีราคาถูกกว่าไทย และเพิ่งฟื้นตัวมาเพียง 20 ปีจากสงครามกลางเมือง ที่คุกรุ่นยาวนานมากว่า 30 ปี นี่อาจเป็นเสมือน “ข้อแก้ตัว” สำหรับการที่ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตที่ด้อยกว่าประเทศในอินโดจีน แต่อันที่จริง ไม่น่าจะแก้ตัวขึ้นเพราะ
- ในอีกด้านหนึ่งมาเลเซียที่มีฐานะทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในด้านรายได้ประชาชาติต่อหัวที่สูงกว่าไทยเกือบเท่าตัว ก็ยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าไทย โดยในปี 2560 และปี 2561 นี้คาดว่าจะเติบโต 5.4% ในขณะที่ไทยได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 3.5% และ 3.6% ตามลำดับ
- เมื่อเทียบกับอินโดนีเซียที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวราว 75% ของไทย (จนกว่าไทยนิดหน่อย) ก็มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5.0% และ 5.1% ในปี 2560 และ 2561 ตามลำดับ
อุปสรรคของการพัฒนาประเทศไทยอยู่ที่ไหน
เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าเราดูจากประสบการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านก็จะเห็นได้ว่า
- ถ้าประเทศชาติมีความสงบ ประเทศก็จะพัฒนา โดยดูได้จากประเทศในอินโดจีน แต่สำหรับประเทศไทย ในขณะนี้ก็ดูสงบดี ไม่มีม็อบมาทำผิดกฎหมายเช่นแต่ก่อน แต่เพราะเหล่าพวกที่สู้อยู่ข้างถนนไล่รัฐบาลที่แล้ว กลับได้ดิบได้ดีไปแล้วในยุคนี้ แต่กลับอีกฝ่ายกลับแลดูไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ เป็นไฟสุมขอนหรือไม่ ความสงบแบบนี้จะเป็นสิ่งชั่วคราวหรือไม่ ทุกท่านต้องลองตรองดู
- ถ้าประเทศมีประชาธิปไตยเช่น อินโดนีเซียที่มี 17,000 เกาะและด้อยพัฒนากว่าไทย ก็ยังมีเลือกตั้ง ฟิลิปปินส์ที่มี 7,000 เกาะและด้อยกว่าไทยเช่นกัน ก็ยังมีการเลือกตั้ง โดยไม่มีการ “ใส่ร้าย” กันว่าจะโกงการเลือกตั้ง
อันที่จริงอินเดีย ประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประชาชนจนมากๆ ก็คงมีการโกง การซื้อเสียงกันแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครอ้างมา “ล้มกระดาน” แต่อย่างใด
ดังนั้นถ้าประเทศมีประชาธิปไตยมากขึ้น เช่น เมียนมา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ก็คงดีกว่านี้ โดยสังเกตได้ว่าประเทศเหล่านี้ เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วหลังการเปลี่ยนแปลง
- การสร้างความโปร่งใสก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่จะช่วยชาติไทยของเราได้ ดูง่าย ๆ จากกรณีหวย ในลาว เขมร เวียดนาม ที่ด้อยกว่าไทยมาก ๆ ก็ไม่มีหวยใต้ดิน ทุกอย่างเป็นหวยบนดิน ราคาล็อตเตอรี่ก็ไม่มีการขายเกินราคาเช่นในประเทศไทย (แดนธรรมะ!?!) เราเคยมีหวยบนดิน ทำให้คนมีงานทำหลายแสนคน
แต่ยุคนี้มีหวยใต้ดินที่แทบไม่ได้ปราบ เงินทองจึงถูกดูดไปสู่ผู้มีอิทธิพล แทนที่จะเจือจานไปถึงประชาชนคนเล็กคนน้อย ความไม่โปร่งใสจากการบริหารประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
- ภาษีก็เช่นกันมีเพียงไทย เมียนมา และบรูไนที่ไม่มีระบบภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง บรูไน
เขาเจริญมาก แทบจะแจกเงินประชาชน จึงไม่ได้เก็บภาษีนี้ เมียนมาก็ด้อยกว่าไทยมาก จึงยังไม่มี แต่ลาว เขมร เวียดนาม เขามีกันหมดแล้ว ไทยก็มีกฎหมายภาษีมรดกเช่นนานาอารยะประเทศเช่นกัน แต่เขียนไว้หรูๆ เอื้อพวกคนรวยๆ จึงทำให้มีกฎหมาย แต่เก็บภาษีไม่ได้สักบาท
การเห็นแก่คนรวยด้วยกัน ไม่เห็นแก่ชาติแบบนี้ การที่ต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยโดยไม่ต้องเสียภาษี ก็เท่ากับเรายกแผ่นดินไทยให้ต่างชาติฟรีๆ เรากำลังขายชาติ!?!
พอนึกออกไหมครับว่าอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาชาติคือใครกันแน่