Go Inter

Go Inter

Go Inter

ทุกครั้งที่ได้ยินว่าบริษัทจดทะเบียนจะ  “Go Inter” หรือขยายการลงทุนไปต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ  ผมก็มักจะรู้สึก “ไม่ค่อยสบายใจ”  ประสบการณ์ของบริษัทไทยที่ขยายการลงทุนไปต่างประเทศนั้นค่อนข้างจะแย่  เมื่อเร็ว ๆ  นี้บริษัทหนึ่งที่ผมถือหุ้นอยู่ก็เพิ่งแถลงว่าต้อง  “สำรองการด้อยค่าของเงินลงทุน”  จำนวนมากเมื่อเทียบกับผลกำไรประจำไตรมาส  ว่าที่จริงผมเองตระหนักอยู่แล้วว่ามันเป็น “ความเสี่ยง” ก่อนที่ผมจะเข้าไปถือหุ้น  แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนั้น   ยังดีที่บริษัทมีขนาดธุรกิจและกำไรที่ใหญ่และมากพอที่จะรองรับความเสียหายนั้นได้โดยผลประกอบการไม่ถูกกระทบมากนัก   อย่างไรก็ตาม  การ Go Inter หรือขยายธุรกิจไปต่างประเทศนั้น  ผมคิดว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในบริษัทจดทะเบียน  เหตุผลก็คือ  เศรษฐกิจของไทยโตช้าลงมากจนใกล้ถึงจุดอิ่มตัว  การที่บริษัทจะโตต่อไปอย่างรวดเร็วดูเหมือนจะมีหนทางเดียวนั่นก็คือ  การขยายตลาดไปต่างประเทศ

การขยายธุรกิจโดยการไปลงทุนในต่างประเทศนั้น  โดยปกติมักจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าการทำธุรกิจในประเทศไม่น้อย  เหตุผลก็เพราะว่าสภาพแวดล้อมและปัจจัยในการแข่งขันทางธุรกิจมักจะแตกต่างจากที่อยู่ในประเทศไทย  ดังนั้น  แม้ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จและอาจจะเป็นผู้นำหมายเลข 1 ในไทย  ซึ่งก็มักจะเป็นเพราะบริษัทมีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจเหนือกว่าคู่แข่งและมีปัจจัยในการแข่งขันที่  “ได้เปรียบ” คู่แข่งและคู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้  แต่เวลาที่บริษัทเข้าไปแข่งในต่างประเทศนั้น  บริษัทกลับมักจะเสียเปรียบคู่แข่งที่เป็น  “เจ้าถิ่น” ในเกือบทุกด้าน  ผลก็คือ  บริษัทมักจะ  “แพ้”  แม้ว่าชื่อชั้นและความสามารถในระดับสากลของบริษัทจะเหนือกว่าบริษัทเจ้าถิ่น

ตัวอย่างบริษัทจดทะเบียนที่ Go Inter  แล้ว  “แพ้” หรือไม่ประสบความสำเร็จนั้นมีมากมาย  เท่าที่ผมพอจะนึกได้รวมถึงบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ราคาถูกชั้นนำที่พยายามเข้าไปทำธุรกิจในอินเดียที่น่าจะมีคนต้องการบ้านราคาถูกจำนวนมาก  แต่สุดท้ายก็ต้องถอยออกมา  เหตุผลผมเองก็ไม่ทราบละเอียดนัก  แต่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  ที่  “ไม่เอื้ออำนวย”  และนี่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่มักทำให้บริษัทที่ Go Inter “ตกม้าตาย” หรือไม่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก

อีกบริษัทหนึ่งก็คือบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้าที่ต้องการเข้าไปขยายธุรกิจในตลาดจีนที่ใหญ่โตมหาศาล  แต่แล้วกลับพบว่าไม่สามารถหาซัพพลายเออร์ท้องถิ่นที่จะนำสินค้าที่เป็นที่นิยมของลูกค้าเข้าร้านได้เนื่องจากถูกบล็อกหรือห้ามโดยห้างสรรพสินค้าของท้องถิ่น  และนี่ก็เป็นเรื่องของการ  “ตกม้าตาย”  เพราะคิดไม่ถึงว่าจะมีการใช้กลยุทธ์แบบนี้ด้วย

ในหลายกรณีของธุรกิจที่เป็นระดับ “สากล” เช่นในเรื่องของการสำรวจและขุดเจาะหาพลังงานนั้น  บ่อยครั้งบริษัทก็ต้องแข่งขันกับบริษัทชั้นนำระดับโลก  ต้องเข้าไปเสนอราคาซื้อกิจการในต่างประเทศหรือเข้าไปประมูลแข่งเพื่อขุดหาพลังงาน  ในกรณีแบบนี้  บริษัทก็มักจะ  “เสียเปรียบ” ในการแข่งขันเกือบทุกด้านรวมถึงขนาดของกิจการ   ผลก็คือ  ความเสียหายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง  บางทีบริษัทไทยอาจจะยัง  “ไม่แน่พอ” ที่จะเข้าไปทำในสิ่งเหล่านี้  ในความเห็นของผม  การ Go Inter ที่น่าจะมีโอกาสสำเร็จได้  ควรจะเป็นธุรกิจที่เรามีความสามารถเหนือกว่าประเทศที่เราเข้าไปทำมากหน่อย  เช่น  ธุรกิจในประเทศที่มีการพัฒนาต่ำกว่าไทยมากเช่นในประเทศเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา  เป็นต้น  ส่วนในเวียตนามเองนั้น  ผมคิดว่าความแตกต่างในระดับการพัฒนาเราไม่ทิ้งห่างเขามากนัก  ดังนั้น  การขยายเข้าไปทำธุรกิจในเวียตนามและให้ประสบความสำเร็จก็มักจะไม่ง่ายแต่ก็ยังพอมีความหวังได้  ส่วนการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศที่ก้าวหน้ากว่าไทยนั้น  ก็มักจะยากขึ้นเป็นลำดับจนแทบเป็นไปไม่ได้  ยกเว้นแต่ว่ามันเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อยหรือเป็นธุรกิจที่  “ทำได้ง่าย”

บริษัทจดทะเบียนที่ไปต่างประเทศและประสบความสำเร็จค่อนข้างดีนั้น  ผมคิดว่าคือธุรกิจโรงแรมที่บริษัทชั้นนำของไทยมีความสามารถสูงพอและแข่งขันกับบริษัทระดับโลกได้  อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ  มันเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน  การแข่งขันก็มักจะไม่รุนแรง  ปัจจัยสำคัญเช่นเรื่องของทำเลและการออกแบบรวมถึงการบริหารงานก็ไม่สามารถมีใครได้เปรียบคนอื่น  ดังนั้น  ความเสียหายจึงดูมีน้อยโดยเฉพาะถ้าคนที่ขยายงานเป็นบริษัทชั้นนำในไทยทางด้านโรงแรมโดยตรง    อย่างไรก็ตาม  ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าการขยายไปต่างประเทศของกิจการโรงแรมจะทำกำไรได้ดีมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับธุรกิจในประเทศ

เช่นเดียวกับธุรกิจโรงแรม  ณ. เวลานี้ดูเหมือนว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าโดยเฉพาะที่มาจากพลังงานทางเลือกที่บริษัทจดเบียนจำนวนมากกำลังขยายไปลงทุนในต่างประเทศจะทำได้ดีพอใช้   พวกเขาเข้าไปทั้งในประเทศที่ด้อยกว่าไทยเช่นในประเทศเพื่อนบ้านและในประเทศเจริญแล้วอย่างญี่ปุ่น   สาเหตุที่  “ประสบความสำเร็จ”  นั้นก็คงเป็นเพราะมันเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อนและทำได้ง่าย   เพราะเมื่อได้รับ “สัมปทาน”  แล้ว  อย่างอื่นก็แค่เป็นเรื่องของการหาที่และก่อสร้างให้สำเร็จ  การดำเนินการต่อจากนั้นก็แค่ “รอให้แดดออกหรือลมมา”  อย่างไรก็ตาม  การขยายธุรกิจแบบนี้โดยปกติแล้วก็มักจะไม่สามารถทำกำไรได้สูงมาก  โชคดีที่ว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจนี้มักจะค่อนข้างจะต่ำ  ดังนั้น  พวกเขาก็ทำได้ดีพอใช้ในการขยายตลาดไปต่างประเทศ

นอกจากเรื่องของธุรกิจแล้ว  ความไม่สบายใจของผมในบางครั้งยังมาจากการที่กิจการในต่างประเทศนั้น  มักจะมีความโปร่งใสน้อยกว่ากิจการที่อยู่ในประเทศ  การตรวจสอบบัญชีก็ทำได้จำกัดกว่า  ดังนั้น  ในบางกรณีอย่างเช่นบริษัทลีสซิ่งบางแห่งก็ใช้การขยายงานไปต่างประเทศเป็นเครื่องมือในการแต่งบัญชีและ/หรือไซฟ่อนเงินบริษัทโดยเจ้าของหรือผู้บริหาร   ลึก ๆ  แล้วผมคิดว่าการ  “โกง” โดยอาศัยธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนนั้นเป็น  “ความเสี่ยง” ที่มีนัยยะและต้องติดตาม  ไล่ตั้งแต่การซื้อกิจการหรือทรัพย์สินที่อาจจะมี  “เงินทอน”  ให้ผู้บริหาร  ไปจนถึงการไซฟ่อนเงินและการแต่งบัญชีเพื่อการปั่นหุ้น  ธุรกิจในต่างประเทศอาจจะเป็น  “สวรรค์ของการโกง” ในแง่ที่ว่ามันยากที่จะจับและมันสามารถที่จะ “ปิด” ได้ง่ายเมื่อ “ภารกิจ”  จบแล้ว

แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถและอาจจะไม่เหมาะสมที่จะหลีกเลี่ยงลงทุนในบริษัทที่ Go Inter  สิ่งที่เราจะต้องคำนึงและวิเคราะห์ก็คือ  ทำไมบริษัทไปต่างประเทศ?  เหตุผลแน่นอนอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะว่ามันอาจจะทำกำไรได้ดีกว่าในประเทศที่มักจะโตช้าลงและใกล้อิ่มตัว   แต่นี่คือความเสี่ยงของนักลงทุน  ดังนั้น  เราจะต้องดูว่าบริษัทจะมีโอกาสสำเร็จแค่ไหน   ถ้าบริษัทเก่งหรือมีความสามารถสูงและขยายธุรกิจเดิมเข้าไปในประเทศที่ด้อยกว่าไทย  ความสำเร็จอาจจะมีโอกาสสูงขึ้น  และจะสูงขึ้นไปอีกในกรณีที่ธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อนและทำง่าย   ตรงกันข้าม  ถ้าบริษัทไม่ได้เก่งมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในต่างประเทศรวมถึงการที่มันเป็นธุรกิจที่ทำยากและต้องอาศัยปัจจัยในการแข่งขันสูง  โอกาสสำเร็จก็จะมีน้อยลง  ประเด็นสุดท้ายก็คือเรื่องของการลงทุนและผลตอบแทนที่จะได้รับ  ถ้าเป็นการลงทุนที่น้อยและบริษัทสามารถ “ทดลอง” ได้ว่าจะสำเร็จหรือไม่  การ Go Inter ก็ไม่เสี่ยงมาก  แต่ถ้าต้องลงทุนมาก  อย่างกรณีการซื้อโรงงานเหล็กของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง  การล้มเหลวก็กลายเป็น “หายนะ” ได้

ในเรื่องของผลตอบแทนนั้น  ผมเองก็ยังไม่เคยเห็นว่ามีบริษัทไหนที่ Go Inter แล้วจะสามารถทำกำไรได้อย่างมโหฬาร  เท่าที่ผ่านมาโดยรวมนั้นผมคิดว่าความเสียหายมีมากกว่าผลตอบแทนมาก  อย่างไรก็ตาม  ในอนาคตก็อาจจะมีบริษัทจดทะเบียนที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ  และทำกำไรมหาศาลได้  ผมคงต้องรอดู  แต่ในระหว่างนี้  การลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะที่ต้องใช้เงินมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินเดิมของบริษัทที่มีอยู่จะเป็นสิ่งที่ผมไม่สบายใจ    และที่อาจจะต้องหลีกเลี่ยงเลยก็คือ  การลงทุนในสิ่งที่บริษัทไม่เคยทำหรือทำไม่ได้ดีแม้ในประเทศไทย