ดูแลสุขภาพด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ดูแลสุขภาพด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

รคภัยที่สำคัญหลายอย่างทั้งมะเร็ง หลอดเลือดหัวใจตีบ ไตเสื่อม ฯลฯ เป็นเรื่องที่ป้องกัน ชลอ หรือแม้แต่รักษาเสริมได้

ด้วยแนวทาง การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายของแต่ละคนด้วย 1. เลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ปลา 2. หลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่ น้ำอัดลม ไขมัน อาหารรสจัด เช่น หวาน มัน เค็ม เผ็ด อาหารประเภทเนื้อสัตว์ 3. ออกกำลังกายเป็นประจำ 4. หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อม สารเคมีที่ก่อมลภาวะ และ 5. ดูแลสุขภาพจิตให้มองโลกในแง่บวก มีความหมาย มีความหวัง ไม่เครียด ซึมเศร้า ทุกข์มากไป)

การที่เราไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ทำให้คนยุคปัจจุบันเจ็บป่วยต้องพึ่งยาและบริการทางการแพทย์มากจนเป็นภาระที่ต้นทุนสูงและยากลำบาก และไม่ได้ส่งเสริมให้ประชาชนรู้จัก แม้กระทรวงสาธารณสุขจะรู้ว่าการป้องกันไม่ให้คนป่วยนั้นเป็นเรื่องฉลาดและคุ้มค่ากว่าการปล่อยให้คนป่วยและค่อยมาติดตามรักษาทีหลัง แต่ภาครัฐซึ่งควรรวมกระทรวงอื่นด้วย เช่น การศึกษา ทำเรื่องการป้องกันและการให้ความรู้กับประชาชนน้อย หรือทำเหมือนกันแต่ทำไปตามระบบราชการที่ได้ผลลัพธ์น้อย

ประชาชนส่วนใหญ่ยังกินอาหารและใช้ชีวิตแบบทำลายสุขภาพตัวเองแบบผ่อนส่ง และมีคนป่วยแน่นโรงพยาบาลทุกหนทุกแห่ง และแพทย์ได้แต่ให้ยาและรักษาไปตามอาการ โดยไม่มีเวลา/ความสนใจที่จะอธิบายให้ผู้ป่วยรู้จักดูแลสุขภาพของตนเองด้วย แพทย์จำนวนมากได้รับการสอนให้มองปัญหาโรคภัยไข้เจ็บแบบแยกส่วนเหมือนช่างเทคนิค เช่น ช่างซ่อมรถยนต์ที่ตรวจหาว่าเครื่องยนต์ส่วนไหนเสียก็ซ่อมส่วนนั้นไป ไม่ได้มองปัญหาแบบองค์รวม ส่วนใหญ่ไม่สนใจหรือแม้แต่ดูหมิ่นการแพทย์ สาธารณสุขแบบองค์รวม ธรรมชาติบำบัด เรื่องโภชนาการ อาหารเสริม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ และการบำบัดแบบทางเลือกอื่นๆ

ไม่ใช่เฉพาะแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขเท่านั้นที่ขาดความรู้ ความตระหนักในเรื่องนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ รวมทั้งคนที่มีความรู้ คนสนใจอ่านหนังสือ ก็เชื่อว่าไว้ค่อยป่วยแล้วค่อยไปหาหมอให้หมอจัดการรักษาให้ แม้ในโรงเรียนเราจะเรียนรู้เรื่องสุขศึกษา การดูแลสุขภาพตนเองมาบ้าง แต่เราก็จำได้เพียงบางส่วน เช่น เลือกดื่มน้ำสะอาด ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ฯลฯ แต่ไม่ได้ตระหนักหรือสนใจอย่างจริงจัง พอเราขึ้นไปเรียนระดับสูงขึ้น ก็เรียนแต่วิชาการ วิชาชีพอื่นๆ และไม่ได้สนอ่านเกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพกายและใจด้วยตนเอง

ปัญหาที่สำคัญคือ การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอุตสาหกรรมที่ทำให้คนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีมลภาวะเพิ่มขึ้นแบบเร่งรีบ ต้องกินอาหารตามที่อุตสาหกรรมอาหารเป็นผู้มีอิทธิพล (เนื้อหมู ไก่ พืชผักที่ผลิตแบบอุตสาหกรรม ใช้สารเร่ง สารเคมี ฯลฯ) ทำงานนั่งโต๊ะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย หลายคนติดเหล้า บุหรี่ กาแฟ น้ำอัดลม ของหวาน ของทอด ปิ้ง ย่าง อาหารสำเร็จรูปต่างๆ ฯลฯ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้คนป่วยกันด้วยโรคสมัยใหม่มากขึ้น เมื่อเทียบกับคนไทยยุคเมื่อ 50-100 ปีที่แล้วที่อยู่ชนบท กินอาหารและใช้ชีวิตแบบธรรมชาติมากกว่าคนในเมืองยุคปัจจุบัน ธุรกิจในระบบทุนนิยมสนใจขายสินค้าหากำไรสูงสุด รวมทั้งธุรกิจยาและธุรกิจการแพทย์

นี่คือปัญหาใหญ่ที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตความผาสุกของผู้คนทั้งประเทศและอย่างต่อเนื่องถึงลูกหลานด้วย รวมทั้งความเสียหายสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจอย่างมากด้วย ทั้งๆ ที่การป้องกันรักษาสุขภาพประหยัดกว่า คุ้มค่ากว่า ฉลาดกว่า นโยบายปล่อยให้คนป่วยและค่อยตามรักษา ซึ่งตอนนี้ค่าใช้จ่ายโดยรวมสูงมาก แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขที่เราผลิตได้น้อย ต้องทำงานหนักมาก แต่รัฐบาลไม่รู้จักรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักดูแลสุขภาพตนเองให้ได้ผลอย่างแท้จริง การใช้งบประมาณทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ข้อความตามสื่อหรือบอร์ดต่างๆ ซึ่งประชาชนทั่วไปก็ไม่ค่อยสนใจอ่านหรืออ่านแบบผ่านๆ เป็นวิธีการที่ไม่ได้ผล ไม่ได้ทำให้เกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญ และนำไปปฏิบัติจริง

การณรงค์น่าจะทำให้ได้ผลดีขึ้นทั้ง 4 ในสถานศึกษา โรงพยาบาล สถานีอนามัย เช่น ควรจะฝึกอบรมครูอาจารย์ให้ไปอธิบายต่อ ปฏิรูปการสอนวิชาสุขศึกษาให้นักเรียนนำไปใช้งานในชีวิตจริงๆ ได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรียนท่องจำเพื่อสอบ ควรสอนทั้งเรื่องการดูแลสุขภาพกายและใจในสถานศึกษาทุกระดับ ซึ่งต้องฝึกอบรมครูอาจารย์อย่างขนานใหญ่ เพราะครูอาจารย์เองส่วนใหญ่ก็ไม่ตระหนักรู้ในเรื่องการดูแลสุขภาพแนวป้องกัน ควรปฏิรูปเรื่องการให้บริการอาหารการกินในสถานศึกษา โรงพยาบาล ให้เน้นอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น ควรจะกำหนดให้เลิกขายน้ำอัดลม ขนมกรุ๊บกรอบ ขนมหวาน ฯลฯ ในโรงเรียนระดับอนุบาลถึงมัธยม ส่งเสริมให้มีการกินข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ แทนข้าวขาว เป็นต้น ส่งเสริมให้ร้านอาหารทำอาหารที่เน้นเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น

การรณรงค์ผ่านสื่อต่างๆ อาจทำให้ได้ผลดีกว่านี้ ถ้ามีการชักชวนพวกดารานักร้อง คนที่มีชื่อเสียงให้มาเข้าใจ เห็นความสำคัญของเรื่องการดูแลสุขภาพตนเอง และช่วยพูด ช่วยเสนอแนะที่ผ่านมา การรณรงค์เรื่องเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ ทำได้ผลในระดับหนึ่ง แต่เรื่องการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันโรคได้ควรทำให้กว้างขวางมากกว่าแค่เรื่องเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ รวมทั้งต้องส่งเสริมในทางบวก ให้เกิดภาคปฏิบัติ เช่นมีการจัดกลุ่ม เวทีแอโรบิกหรือการออกกำลังกายอื่นๆ มีร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านขายผักผลไม้อินทรีย์ หรือปลอดสารเคมี มีการจัดแข่งขันทายปัญหาเรื่องการดูแลสุขภาพทางโทรทัศน์ การทำสารคดีสัมภาษณ์คนสูงอายุที่อายุยืนดูแลสุขภาพดี ฯลฯ

เรื่องพวกนี้ถ้าช่วยกันคิดช่วยกันทำจริงจัง จะช่วยให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น ลดความสูญเสียจากการเจ็บป่วย ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ได้มาก ประชาชนส่วนใหญ่จะมีความสุขขึ้น รัฐบาลที่ฉลาดที่จะทำโครงการนี้ จะได้ชื่อเสียงไปยาวนานมากกว่า การทำโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ โครงการประชานิยม ประชารัฐต่างๆ