“บิทคอยน์” เรื่องราวของ...คนกลัวตกรถ...คนติดดอย

“บิทคอยน์” เรื่องราวของ...คนกลัวตกรถ...คนติดดอย

คุณผู้อ่านหลายท่านคงมีความรู้เรื่องบิทคอยน์บ้างอยู่แล้ว แต่วันนี้ผมจะขอคุยในแบบที่คุณผู้อ่านที่ยังไม่มีความรู้ด้านนี้เลย...ก็ยังพอเข้าใจได้

ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องบิทคอยน์ปูพื้นซักหน่อยนะครับ บิทคอยน์เป็นเงินสกุลดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยเหตุที่มันเป็นเงินสกุลดิจิทัลสกุลแรกที่ใช้ระบบบล็อกเชน (Blockchain) รันระบบทั้งหมด 

ดังนั้นข้อดีของบิทคอยน์จึงมีมากมาย เช่น รันบนระบบล็อกเชน...ทำให้ไม่มีศูนย์กลาง...ไม่มีใครมาควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประเทศไหน หรือธนาคารกลางประเทศไหนก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ บรรดาคนร่ำรวยจึงชื่นชอบ เพราะเวลาโอนเงินไปไหน...ก็จะไม่มีใครรู้ 

บิทคอยน์ถูกควบคุมให้มีจำนวนเพียง 21 ล้านบิทคอยน์เท่านั้น...จึงไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อกับบิทคอยน์ นั่นหมายถึง ราคาบิทคอยน์ภายใต้ระยะเวลายาวนาน...มีแต่จะขึ้น...ถ้าผู้คนยังเชื่อถือมันอยู่ และสุดท้ายระบบของบิทคอยน์โกงไม่ได้...เพราะระบบมันเป็นระบบกระจายศูนย์กลางไปยังคอมพิวเตอร์เป็นพันเป็นหมื่นเครื่อง จึงไม่สามารถแฮกได้

เหตุผลข้างต้นที่ฟังดูดีไปหมดจึงทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาซื้อบิทคอยน์เพิ่มขึ้น...เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาบิทคอยน์จากต้นปีประมาณพันดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ราคาก็พุ่งขึ้นไปสูงกว่า 7,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ก็ทำให้ผู้คนคิดไปว่า บิทคอยน์จะกลายเป็นราชาแห่งเงินสกุลดิจิทัลไปอย่างแน่นอน แต่เทคโนโลยีของบิทคอยน์นั้นเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว จึงทำให้การโอนบิทคอยน์ที่มีปริมาณสูงขึ้นเป็นอย่างมาก...ช้าลง และที่สำคัญที่สุดคือ ค่าโอนแพงขึ้นเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ จึงเริ่มมีคนที่พยายามจะดัดแปลงบิทคอยน์ให้มีโครงสร้างใหม่ เพื่อให้โอนเร็วขึ้นและเสียค่าโอนถูกลง และแล้ว...ความร่วมมือในการดัดแปลงดังกล่าวก็เกิดขึ้น เมื่อมีคน 12 คนที่อยู่ในวงการบิทคอยน์ไปประชุมกันที่นครนิวยอร์ค โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำการดัดแปลงบิทคอยน์ครั้งใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “Hard Fork” เพื่อให้มีขนาดบล็อกขยายขึ้นจากเดิม 1 เมกะไบท์ กลายเป็น 2 เมกะไบท์ และยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเดิมอีกด้วย 

ข้อตกลงดังกล่าวมีชื่อว่า “ข้อตกลงนิวยอร์ค” (New York Agreement) และตกลงกันว่าวันที่ 16 พ.ย.นี้จะเริ่มต้นทำการดัดแปลงตามข้อตกลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการดัดแปลงครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อบิทคอยน์ครั้งใหญ่ และนักพัฒนาโปรแกรมบิทคอยน์จำนวนมากก็ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงทำให้มีคนไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็เกิดกระแสการต่อต้านการทำ Hard Fork ครั้งใหญ่ จึงกดดันให้กลุ่มข้อตกลงดังกล่าวยอมแพ้ และไม่ทำการ Hard Fork ในที่สุด

ความผิดหวังจากการที่ไม่ได้ทำการ Hard Fork ส่งผลให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเกิดการเทขายบิทคอยน์ครั้งใหญ่ จากราคาประมาณ 7,800 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ในวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็ไหลลงไปต่ำกว่า 5,500 ดอลลาร์ ภายในเวลาแค่ 4 วัน โดยเงินที่เทขายบิทคอยน์ในครั้งนี้ก็หลั่งไหลเข้าไปซื้อเงินสกุลใหม่ที่มีชื่อว่า “บิทคอยน์แคช” 

แรกเดิมทีเงินบิทคอยน์แคชเป็นเงินสกุลดิจิทัลที่แตกตัวมาจากบิทคอยน์เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา และมีการขยายขนาดของบล็อกจากเดิม 1 เมกะไบท์ให้กลายเป็น 8 เมกะไบท์ ทำให้การโอนเงินบิทคอยน์แคชทำได้อย่างรวดเร็ว และยังทำให้ค่าใช้จ่ายในการโอนเงินถูกลงอย่างมากอีกด้วย หลายคนจึงมองว่า บิทคอยน์แคช...มีโอกาสจะมาแทนที่บิทคอยน์ในอนาคตอันใกล้นี้

นอกจากนั้นบิทคอยน์แคชเอง ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ประกอบคอมพิวเตอร์เพื่อขุดบิทคอยน์จากจีนที่นำโดย นายจีฮาน วู กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พยายามสร้างเงินสกุลดิจิทัลอื่นขึ้นมาทดแทนบิทคอยน์ให้ได้ เพราะเขาจะได้รับผลประโยชน์จำนวนมากจากเหตุการณ์ดังกล่าว หลังจากเหตุการณ์ Hard Fork ล่ม บรรดากลุ่มสนับสนุนบิทคอยน์แคชก็ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเข้าไปในบิทคอยน์แคช โดยการขายบิทคอยน์เอง และเข้าไปซื้อบิทคอยน์แคชแทน ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ นักลงทุนชาวเกาหลีใต้ที่มีปริมาณลงทุนในเงินสกุลดิจิทัลสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 รองจากญี่ปุ่นและสหรัฐ ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาซื้อบิทคอยน์แคช...เพื่อเก็งกำไร

จากนั้นก็เกิดการสร้างปรากฎการณ์ที่เราเรียกกันว่า กลัวตกรถ” (Fear of Missing out-FOMO)  ทำให้ราคาของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างบ้าระห่ำจาก 400 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์แคช ขึ้นไปถึง 2,450 ดอลลาร์ในวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้น 6 เท่าภายในระยะเวลาเพียง 4 วัน

หลังสงคราม 4 วัน...  ราคาบิทคอยน์จาก 7,800 ดอลลาร์ ลงไปต่ำสุดที่ 5,550 ดอลลาร์ และตอนนี้อยู่ประมาณ 6,500 ดอลลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ฟากฝั่งของบิทคอยน์แคช จาก 400 ดอลลาร์ ขึ้นไปสูงสุดถึง 2,450 ดอลลาร์ และเวลานี้อยู่ประมาณ 1,250 ดอลลาร์ต่อหนึ่งบิทคอยน์แคช

เหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้ว... เราไม่รู้ว่า ใครกำไรเท่าไร?...ใครขาดทุนเท่าไร? แต่ที่เรารู้แน่ๆก็คือ สงครามครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิด คนกลัวตกรถและ คนติดดอยบนโลกใบนี้เพิ่มขึ้นอีก...นับไม่ถ้วน

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่www.doctorwe.com