อย่าให้ ‘ปรากฏการณ์ตูน’ เป็นแค่กระแส
กระแสแห่งความชื่นชมของคนไทยต่อ “ตูน บอดี้สแลม” หรืออาทิวราห์ คงมาลัย ที่ออกวิ่งจากใต้สุดถึงเหนือสุดเพื่อระดมเงินให้กับโรงพยาบาล 11 แห่ง
เป็นปรากฏการณ์ที่ควรแก่การศึกษาและทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีงามอีกมากมายในสังคมไทย
ความจริงหากฟัง “พี่ตูน” (ซึ่งกลายเป็นชื่อที่คนทุกวัยเรียกขานแล้ว) พูดไว้หลายประโยค ก็น่าจะที่เข้าใจถึงความมุ่งมั่น ถ่อมตนและทุ่มเทของการทำความดีเพื่อคนอื่นที่ไม่ได้หวังจะได้ประโยชน์กับตน
เพราะนั่นคือการ “ทำความดี” ของสามัญชนในความหมายที่แท้จริง
ข้อแรก คุณตูนบอกว่าเขาไม่ใช่ “ฮีโร่” เพราะวีรบุรุษและวีรสตรีที่แท้จริงนั้นคือคุณหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วประเทศที่ต้องทำงานตรากตรำเหนื่อยยากท่ามกลางความขาดแคลนมากมายทุกชั่วโมงทุกวัน
คุณตูนบอกว่า “ผมเป็นเพียงสะพาน” ระหว่างประชาชนกับคุณหมอและพยาบาลเท่านั้น
เมื่อประชาชนตะโกน “พี่ตูนสู้ๆ” เขาก็ขอทำความเข้าใจอีกว่าอย่าได้เชียร์ให้เขาสู้ๆ แต่ควรจะส่งกำลังใจสู้ๆ ไปถึงหมอและพยาบาลที่ทำงานเพื่อดูแลรักษาคนไข้ทุกวัน
อีกวันหนึ่ง คุณตูนบอกว่าประชาชนไม่จำเป็นต้องบริจาคเงินทุกคน ขอให้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีก็จะเป็นการช่วยกันทำความดีแล้ว
คุณตูนอธิบายว่าหากทุกคนมีสุขภาพดี ไม่ต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลที่แออัดยัดเยียดและขาดแคลนทรัพยากรก็เท่ากับเป็นการทำให้คนอื่นที่ป่วยจริงได้ใช้บริการของหมอและพยาบาลอย่างคล่องตัวกว่าที่เป็นอยู่
พอเกิดกระแส “พี่ตูน” ไปทั่วประเทศในระดับที่คาดไม่ถึง ก็มีคนวิเคราะห์ว่าเป็นคนไทยโหยหาวีรบุรุษในยามที่บ้านเมืองขาดแคลนคนทำความดีความงามที่สร้างความอบอุ่นและปลาบปลื้มได้อย่างเต็มภาคภูมิ
นั่นก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลของความความรู้สึก “ตื่นตูน” แต่เหตุผลอื่นๆ ที่ควรจะนำมาประกอบการพิเคราะห์เรื่องนี้ก็น่าจะเกี่ยวกับการแสดงออกของคุณตูนเองที่มาในรูปของความจริงใจ, อ่อนน้อมถ่อมตนและยื่นมือออกไปหาทุกผู้ทุกนามอย่างเปิดกว้าง
คุณตูนได้กลายเป็นตัวแทนของ “สะพาน” ที่เชื่อมคนไทยในภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างสนิทใจ ทำให้สังคมที่เคยแตกแยกกันหันมาตระหนักว่าเราต่างก็เป็นคนไทยที่มีจิตใจพร้อมจะร่วมกันทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมือนๆ กัน
อีกนัยหนึ่งก็คือว่าการกระทำของคุณตูนได้พิสูจน์ว่าหากตัดผลประโยชน์แห่งตนและพวกตนออกไป เลิกคิดแบ่งพวกแบ่งเหล่าตามแนวทางทางการเมืองแล้ว คนไทยทุกหมู่เหล่าก็สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไม่มีข้อสงสัยคลางแคลงใด
แต่ที่สำคัญคือเมื่อจบ “ปรากฏการณ์ตูน” ครั้งนี้แล้ว สังคมไทยจะสามารถต่อยอดความเอื้ออาทรต่อกันให้ยั่งยืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยได้หรือไม่
คนไทยจะแสดงออกซึ่งความเมตตากรุณาต่อกันโดยไม่ต้องรอให้มี “ฮีโร่” เกิดขึ้นได้หรือไม่?
ทำอย่างไรเราจึงจะเห็นคล้อยกับคุณตูนว่า “ฮีโร่” ที่แท้จริงคือคนไทยทั้งหลายที่ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยทั้งๆ ที่ยังขาดแคลนทรัพยากรและงบประมาณ
ปัญหาเรื่องความขาดแคลนงบประมาณและทรัพยากรนั้นไม่ได้มีเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น หากแต่ยังเป็นปัญหาเรื้อรังในหลายๆ จุดของสังคมไทย
อีกด้านหนึ่งของกระแสนี้คือการสะท้อนถึงปัญหาการบริหารงบประมาณของรัฐบาลและระบบราชการที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงใจ มิใช่หวังจะแก้ปัญหาด้วยเงินบริจาคในลักษณะนี้แต่เพียงอย่างเดียว
กระแส “ตื่นตูน” ครั้งนี้ยังเป็นการส่งสารไปถึงการที่สังคมไทยจำเป็นจะต้องปลุกสำนึกแห่งความเป็น “จิตอาสา” ของทุกหมู่เหล่าที่จะช่วยเหลือกันและกันในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องรอให้มี “ปรากฏการณ์” ระดับชาติเช่นนี้แล้วจึงเกิดความตื่นตัวที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ
อีกทั้งยังทำให้มีคำถามว่าผู้เป็นเจ้าของความมั่งคั่งในสังคมไทยทั้งห