ทำไมสีจิ้นผิงเลิกพูดถึง GDP?

ทำไมสีจิ้นผิงเลิกพูดถึง GDP?

ความคิดสีจิ้นผิง(แถลงในที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนที่แล้ว กว่า 3 ชั่วโมง)เป็นอะไรที่เรียกได้ว่าฉีกแนวความคิดของผู้นำจีนในอดีตครับ

ฉีกแนวตรงที่ สีจิ้นผิงเป็นผู้นำคนแรกที่เลิกใช้ GDP เป็นเป้าหมาย นอกจากนั้น สีจิ้นผิงยังขีดเส้นเวลาใหม่ให้กับความฝันของจีน

ผู้นำจีนคนก่อนๆ ล้วนย้ำเน้นเรื่องการเติบโตของ GDP ตัวอย่างเช่น อดีตประธานาธิบดีหูจินเทา ได้เคยตั้งเป้าหมายว่า GDP ของจีนในปี ค.ศ. 2020 จะต้องเพิ่มขึ้นจาก GDP ของจีนในปี ค.ศ. 2010 หนึ่งเท่าตัว และนั่นจะเป็นหมุดหมายว่าจีนเป็นสังคมกินดีอยู่ดีรอบด้าน

แต่ใน ความคิดสีจิ้นผิงสำหรับจีนยุคใหม่ ที่ได้บรรจุลงในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีนเรียบร้อยแล้ว ไม่มีตรงไหนเลยครับที่พูดถึง GDP หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงเช่นในอดีต

เหตุผลก็เพราะจีนกำลังเข้าสู่ ยุคใหม่” ที่แตกต่างจากในอดีต จากเดิมที่ปัญหาใหญ่ของจีนในอดีตคือ พลังการผลิตที่ล้าหลัง แต่สีจิ้นผิงกลับบอกว่า จีนยุคใหม่มีปัญหาการพัฒนาอย่างไม่สมดุลและไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า

คนจีนมักมองการพัฒนาของสังคมว่าแบ่งเป็นช่วงๆ โดยแต่ละช่วงย่อมต้องมีจุดเน้นแตกต่างกัน ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา เติ้งเสี่ยวผิงชี้ว่า จีนยังยากจนข้นแค้นมากเหลือเกิน เพราะฉะนั้น อันดับแรกจะต้องพัฒนาพลังการผลิตเสียก่อน (นั่นก็คือ พัฒนาอุตสาหกรรม) ดังนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงมีสโลแกนว่า จะเป็นผู้นำในการปลดปล่อยพลังการผลิตของชาติจีน

ในสมัยนั้น มาตรวัดที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาก็คือ ตัวเลข GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ผลงานของรัฐบาลก็คือ รักษาอัตราการเติบโตของ GDP ให้อยู่ในระดับที่สูง จนจีนมีการเติบโตของ GDP สูงถึง 10% ต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี และได้รับฉายาว่าเป็น “โรงงานโลก”

สีจิ้นผิงบอกว่า พลังการผลิตไม่ใช่ปัญหาของจีนอีกต่อไป ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ถึง 220 อย่าง ที่จีนผลิตได้ปริมาณมากที่สุดในโลก หลายภาคอุตสาหกรรมไม่ได้ขาดพลังการผลิต แต่กลับมีปัญหาการผลิตล้นเกินเสียมากกว่า ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจของสีจิ้นผิงจึงใช้ชื่อว่า การปฏิรูปด้านอุปทาน” (Supply-side reform) คือ เน้นแก้ปัญหาการผลิตเกินตัว (Overcapacity) ส่งเสริมคุณภาพและยกระดับนวัตกรรมสินค้า แทนที่จะเน้นแต่ปริมาณดังในอดีต

ตอนนี้สโลแกนด้านเศรษฐกิจของสีจิ้นผิง ได้แก่ “3 เปลี่ยน” “3 ปฏิรูป” “4 ประสาน และ “ 3 มี (พรรคคอมมิวนิสต์จีนน่าจะเป็นพรรคที่คิดสโลแกนเยอะที่สุดในโลก!!)

“3 เปลี่ยน ได้แก่ เปลี่ยนโมเดลการพัฒนา เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ และเปลี่ยนตัวนำการเติบโตทางเศรษฐกิจ

“3 ปฏิรูป ได้แก่ ปฏิรูปคุณภาพ ประสิทธิภาพ และแรงจูงใจ

“4 ประสาน ได้แก่ เชื่อมโยงภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) นวัตกรรมเทคโนโลยี ระบบการเงินที่ทันสมัย และทรัพยากรมนุษย์เข้าด้วยกัน โดยมองว่าภาคอุตสาหกรรมจะต้องอาศัยความเป็นเลิศทั้ง 4 ด้านเชื่อมประสานกัน

“3 มี ได้แก่ กลไกตลาดต้องมีประสิทธิภาพ วิสาหกิจในระดับจุลภาคต้องมีการแข่งขัน และการดูแลเศรษฐกิจมหภาคต้องมีความพอดี

สีจิ้นผิงเลิกพูดถึง GDP คล้ายๆ กับยอมรับว่าจีนหมดยุคที่จะเติบโตในอัตราที่สูงแล้ว (อัตราที่สูงของจีนในอดีตคือสูงกว่า 10% อัตราการเติบโตของจีนในสมัยสีจิ้นผิงอยู่ที่ราว 6-7%) สีจิ้นผิงเริ่มวาดภาพความฝันใหม่ (และเหตุผลใหม่ของการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน) นั่นคือ คุณภาพชีวิตที่ดี ความเป็นสมัยใหม่ และความภาคภูมิใจในสถานะมหาอำนาจของจีน

ในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ผ่านมา สีจิ้นผิงยืนยันว่าจีนจะเป็นสังคมกินดีอยู่ดีรอบด้านแน่ๆ ภายในปี ค.ศ. 2020 ตามที่ผู้นำคนก่อนๆ เคยตั้งเป้าหมายไว้ (เหลืออีก 3 ปี ทำได้แน่นอน!) แต่เขายังฝันไกลขึ้นไปอีก คือ ประกาศว่าจีนจะเป็นประเทศสมัยใหม่ให้ได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2035 เร็วขึ้นกว่าที่ผู้นำคนก่อนๆ เคยให้คำมั่นไว้ถึง 15 ปี!

เท่ากับว่า สีจิ้นผิงแบ่งประวัติศาสตร์การพัฒนาของจีนออกเป็น 5 ช่วง ได้แก่ 1) ช่วงเริ่มเปิดและปฏิรูปประเทศ-ค.ศ. 1990 เป็นช่วงแก้ปัญหาให้คนมีกิน 2) ช่วง ค.ศ. 1991-2000 เป็นช่วงพัฒนาให้คนเริ่มกินดีอยู่ดี 3) ช่วง ค.ศ. 2001-2020 บรรลุสังคมกินดีอยู่ดีรอบด้าน 4) ค.ศ. 2021-2035 บรรลุการเป็นประเทศสมัยใหม่ 5) ค.ศ. 2036-2050 สร้างจีนให้เป็น “ประเทศสังคมนิยมมหาอำนาจสมัยใหม่ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่ เลิศวัฒนธรรม สมานฉันท์ และสวยงาม” (ยาวมาก!!)

คำบรรยายภาพอนาคต ปี ค.ศ. 2050 ของจีน (100 ปี สาธารณรัฐประชาชนจีน) ของสีจิ้นผิงนั้น แตกต่างจากคำที่ผู้นำคนก่อนๆ เคยใช้ โดยเพิ่มคำใหม่มา 2 คำ คือ คำว่า มหาอำนาจและ สวยงาม ผู้นำสมัยก่อนใช้เพียงว่า ประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่ เลิศวัฒนธรรม และสมานฉันท์ (ซึ่งก็ยาวมากแล้ว)

มหาอำนาจ สะท้อนว่า สีจิ้นผิงต้องการให้จีนก้าวขึ้นมาเล่นบทบาทนำมากขึ้นในเวทีโลก และสร้างความภาคภูมิใจและปลุกกระแสชาตินิยมว่าจีนได้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ส่วน สวยงาม ต้องการบอกกับประชาชนว่า เขาเข้าใจความกังวลและเสียงไม่พอใจปัญหาสิ่งแวดล้อมในจีนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และต้องการสร้างจีนใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ส่วนการบรรลุ ความเป็นสมัยใหม่ ให้ได้ในปี ค.ศ. 2035 นั้น ตอนนี้หลายคนสงสัยว่าจะใช้เกณฑ์อะไรวัด แต่ที่แน่นอนก็คือ สีจิ้นผิงไม่ใช้เกณฑ์ GDP อีกแล้ว ดูเหมือนสีจิ้นผิงใช้คำว่า ความเป็นสมัยใหม่ เพื่อสะท้อนภาพจีนที่มีความก้าวหน้าในเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี เน้นคุณภาพสินค้ามากกว่าปริมาณ โดยเลิกเอา GDP มาวัดความก้าวหน้าของสังคมจีนอีกต่อไป

สีจิ้นผิงต้องการให้ “ยุคใหม่” ของจีน ซึ่งเขาเป็นผู้นำ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากเดิมที่ขอให้คนจีนมอบอำนาจให้พรรค แล้วพรรคสัญญาจะพาจีนให้ร่ำรวย เปลี่ยนมาเป็นสัญญาประชาคมฉบับใหม่ที่มีเนื้อหากว้างกว่าเดิม ต่อจากนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะพาจีนก้าวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ เป็นสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมที่สวยงามและที่สำคัญ แข็งแกร่งพอที่จะเป็นมหาอำนาจของโลก!

พี่จีน (และสีจิ้นผิง) ยิ่งฝันยิ่งไปไกล แต่จะไปถึงฝั่งฝันได้จริงหรือไม่ ก็อย่างที่สีจิ้นผิงพูดเองในที่ประชุมว่า “ทางข้างหน้าแสนจะโชติช่วง แต่ความท้าทายก็หนักหนาสาหัสเช่นกัน”