ทรัมป์ ‘ปากมอม’ กลายเป็นทรัมป์ ‘ปากหวาน’ ต่อหน้าสีจิ้นผิง***
ดูจากภาษากายของสองผู้นำก็คงจะเห็นได้ชัดว่าโดนัลด์ ทรัมป์เปลี่ยนจากผู้นำ “ปากมอม” เป็น “ปากหวาน” ระหว่างเยือนปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
พอออกจากปักกิ่งไปดานัง, เวียดนาม, เพื่อร่วมประชุมสุดยอด Apec เขาก็กลับสภาพเป็น “ปากมาก” อีกเช่นเคย
เนื้อแท้ของทรัมป์คือ “เซลส์แมน” ที่ต้องการขายของ และหากบรรลุเป้าหมายได้ จะใช้วิธีการอย่างไร เขาก็พร้อมจะทำ แม้จะต้องพูดและทำคนละอย่างที่ตนประกาศเอาไว้ก็ตาม
“คุณเป็นคนพิเศษ” ทรัมป์บอกกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงหลังจากที่ผู้นำจีนต้อนรับเขาอย่างเอิกเกริกและประกาศว่า “เราควรจะหาทางร่วมมือกันมากกว่าจะเผชิญหน้ากัน”
ช่วงหาเสียงและตอนขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีใหม่ ๆ ทรัมป์กล่าวหาจีนเสีย ๆ หาย ๆ และขู่ว่าอาจจะต้องใช้มาตรการเล่นงานจีนเพื่อแก้ปัญหาดุลการค้าที่จีนได้เปรียบสหรัฐฯ
ช่วงนั้นทรัมป์กล่าวหาจีนว่าใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อ “ปล้น” และ “ข่มขืน” สหรัฐ และหากจำเป็นก็อาจจะต้องเก็บภาษีสินค้าจีนเข้าอเมริกาถึง 40%
สีจิ้นผิงนิ่งมาตลอด เลือกใช้วิธี “เอาความสงบสยบความเคลื่อนไหว” และก็ได้ผลเสียด้วย เพราะพอทรัมป์มาจีนครั้งนี้ ยกทัพนักธุรกิจระดับยักษ์ของตัวเองมาด้วย อีกทั้งยังมีการลงนามในข้อตกลงซื้อขายกันถึง 38 กลุ่มรายการ (รวมถึงขายเครื่องบินโบอิ้งฝูงใหญ่ให้สายการบินจีน) ทรัมป์ก็เปลี่ยนเสียง ใช้ภาษาดอกไม้เพื่อสร้างภาพว่าสามารถพูดจารู้เรื่องกับผู้นำจีนที่เพิ่งได้รับอาณัติจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดต่อไปอีก 5 ปี
ที่สร้างความฉงนอย่างยิ่งต่อผู้พบเห็นก็คือประโยคที่ทรัมป์พูดให้สีจิ้นผิงได้ยินชัด ๆ ว่า
“ผมไม่โทษจีน ผมจะโทษประเทศที่ผู้นำพยายามจะสร้างความได้เปรียบอีกประเทศหนึ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนของตนเองได้อย่างไร?”
เป็นวาทะที่เป็นคนละเรื่องคนละราวกับที่เขาเคยประกาศต่อประชาชนคนอเมริกันและทั้งโลกอย่างน่าประหลาดใจ
แต่ทรัมป์ไม่แคร์ว่าใครจะว่าอะไรอย่างไร เพราะเป้าหมายมีอย่างเดียว คือทำอย่างไรจึงจะให้ตัวเองได้ประโยชน์และอ้างได้ว่าสามารถทำให้ผู้นำจีนยอมโอนอ่อนผ่อนตามตนได้
ทั้ง ๆ ที่สีจิ้นผิงไม่ได้ยอมทรัมป์อะไรมากมาย เพียงแต่ยืนยันว่าจะต้องหาทางให้เกิดความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
สังเกตว่าแม้ว่าทรัมป์จะบอกว่าหัวข้อสำคัญในการพูดจากับจีนครั้งนี้คือการกดดันเกาหลีเหนือให้หนักขึ้น แต่ในการแถลงข่าวของทั้งสองคนก็ไม่ได้เน้นหนักเรื่องนี้แต่อย่างใด
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะสีจิ้นผิงได้บอกกล่าวกับทรัมป์ว่าสหรัฐฯจะกดดันจีนอย่างไรก็ต้องเข้าใจว่ามาตรการลงโทษโสมแดงนั้นไม่อาจจะถือเป็นหนทางเดียวที่จะแก้วิกฤตคาบสมุทรเกาหลีได้
ตรงกันข้าม หากทรัมป์ยังยืนยันจะใช้วิธีการโฉ่งฉ่าง กดดันประเทศต่าง ๆ ให้ไปกดดันเกาหลีเหนือต่อโดยไม่แสวงหาทางออกอื่น ๆ เช่นการเจรจาและการ “ยอมถอยคนละก้าว” ตามที่จีนและรัสเซียเสนอ, ก็อย่าได้หวังว่าทรัมป์จะสามารถอ้างชัยชนะในเกมการต่อรองนี้
ทรัมป์จึงส่งเสียงเรื่องเกาหลีเหนือระหว่างเยือนจีนเบาลงไปมาก และไม่อาจจะอ้างว่าสามารถกดดันปักกิ่งให้ยอมตามตนเองได้
เพราะวันนี้อินทรี (ปีกหัก) ต้องบินมาเกาะมังกรยักษ์ที่กำลังผงาดขึ้นบนเวทีโลก มิอาจจะอ้าขาผวาปีกเพื่อแสดงอำนาจบาตรใหญ่แบบเดิมอีกต่อไป!
///
*** ชื่อเต็มเรื่อง:
เมื่อทรัมป์ ‘ปากมอม’ กลายเป็น
ทรัมป์ ‘ปากหวาน’ ต่อหน้าสีจิ้นผิง