เด็กอิหร่าน, เด็กเกาหลีเหนือ สองชาติที่เผชิญหน้ากับทรัมป์!
ผมเพิ่งกลับจากอิหร่าน เป็นการเยี่ยมเยือนที่น่าสนใจ เพราะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯชี้นิ้วกล่าวหาว่า
กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และสนับสนุนการก่อการร้าย
ไม่ต่างกับที่ทรัมป์บอกว่าเกาหลีเหนือก็เข้าข่ายเดียวกัน นั่นคือได้ละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงด้วยการเดินหน้าทดลองขีปนาวุธและสร้างอาวุธนิวเคลียร์ อีกทั้งกำลังเตรียมจะตราหน้าว่าเป็นประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายเช่นกัน
ผมไปเกาหลีเหนือมาแล้ว เมื่อมีโอกาสไปเยือนอิหร่านจึงไม่อาจจะพลาดโอกาสนี้ได้
สองภาพที่ผมนำเสนอวันนี้คือเด็กอิหร่านและเกาหลีเหนือที่ผมได้ประสบพบเห็น
เด็กทั้งสองประเทศนี้มีความน่ารักน่าเอ็นดู มีหน้าตาสดชื่นและแววตาส่อแสดงถึงความหวัง
เมื่อได้สัมผัสเยาวชนของสองประเทศนี้ สิ่งที่ผุดขึ้นในใจผมทันทีก็คือว่าเด็ก ๆ ของสองชาตินี้จะสามารถอยู่รอดในความตึงเครียดที่ผู้นำของพวกเขามีกับสหรัฐฯเพื่อสร้างอนาคตของตัวเองหรือไม่อย่างไร
เด็กพวกนี้จะรู้ไหมว่าความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์เพราะแรงกดดันของสหรัฐฯนั้นมีสูงกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา
หากเกิดสงคราม, คำว่าอนาคตก็ดับวูบต่อหน้าต่อตา
ทรัมป์ประกาศว่าจะยกเลิกข้อตกลงที่รัฐบาลโอบามาร่วมกับอีก 5 ประเทศตะวันตกลงนามเมื่อสองปีก่อนที่เรียกว่า Joint Comprehensive Plan of Action (JCPOA) เพราะทรัมป์อ้างว่าอิหร่านไม่ได้ทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
ข้อตกลงครั้งนั้นเป็นการกดดันให้อิหร่านระงับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างอาวุธทำลายล้างรุนแรงเพื่อแลกกับความช่วยเหลือในการผลิตพลังงานที่ไม่เกี่ยวกับอาวุธแทน
พอทรัมป์ประกาศจะฉีกสัญญานี้ อิหร่านก็โวยว่าสหรัฐฯเบี้ยว ไม่จริงใจและโอนเอียงเข้าข้างอิสราเอลและจับมือกับซาอุดีอาระเบียเพื่อต้องการจะถล่มอิหร่าน
พลันที่มีข่าวนี้ เกาหลีเหนือก็ชี้ว่าสหรัฐฯได้สำแดงเนื้อแท้ของตนออกมาแล้ว นั่นคือการพยายามจะ “เบี้ยว” ข้อตกลงโดยไร้เหตุผล เป็นการจงใจจะกลั่นแกล้งชาติอื่น ใช้อำนาจบาตรใหญ่ต่อประเทศเล็กกว่าอย่างน่ารังเกียจ
คิมจองอึนแห่งโสมแดงยืนยันมาตลอดว่าใครที่เชื่อสหรัฐฯเท่ากับยอมให้เขาหลอก ดังนั้น ยังไง ๆ เกาหลีเหนือก็ไม่มีทางยกเลิกโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
เพราะการมีอาวุธร้ายแรงในครอบครองเป็นทางเดียวที่เปียงยางจะสามารถต้านการรุกรานของอเมริกาได้
วันนี้ ศัตรูใหญ่ของสหรัฐฯจึงกลายเป็นเกาหลีเหนือและอิหร่าน
ผมตั้งใจจะศึกษาให้เข้าใจสองประเทศนี้ให้รอบด้านกว่าที่ผ่านมาเพราะสองประเทศนี้กลายเป็นจุดอ่อนไหวของโลก หากจะเกิดสงครามรอบใหม่ ก็คงจะหนีไม่พ้นสองย่านนี้ เพราะทรัมป์ดูเหมือนจะตั้งใจยกระดับความตึงเครียดกับเปียงยางและเตหะรานเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ของตนในระดับสากล
แต่ต้องไม่ลืมว่าจีนกับรัสเซียยืนคนละข้างกับสหรัฐฯในสองกรณีนี้
สหรัฐฯอยู่ข้างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพื่อเผชิญหน้ากับเกาหลีเหนือ
สหรัฐฯอยู่ข้างซาอุฯและอิสราเอลเพื่อเผชิญหน้ากับอิหร่าน
จีนและรัสเซียโอนเอียงไปทางเกาหลีเหนือในกรณีวิกฤตคาบสมุทรเกาหลี
จีนและรัสเซียอยู่ข้างอิหร่านในกรณีความตึงเครียดระหว่างสองยักษ์ในตะวันออกกลางคืออิหร่านกับซาอุฯ
เกมการเมืองที่ปีนเกลียวกันในสองจุดนี้มีความน่ากลัวตรงที่เป็นทั้งการเผชิญหน้าของมหาอำนาจ และกำลังจะเกิด “สงครามตัวแทน” อันไม่พึงปรารถนา
ยิ่งทรัมป์ต้องการจะขายอาวุธเพื่อสร้างรายได้ให้กับอเมริกา และสกัดอิทธิพลของจีนในทุกเวทีโลก, ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง!