อนาคตที่รายล้อมด้วยอุปกรณ์พูดได้

ภายในกลุ่มดิจิทัลยักษ์ใหญ่อย่าง อเมซอน กูเกิล แอ๊ปเปิ้ลและไมโครซอฟท์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ที่สะดวกและเหนือชั้นของการซื้อสินค้า การให้บริการ การควบคุมอุปกรณ์ การสอบถามข้อมูลและการสนทนา (Conversation) ผ่านการพูดคุยหรือสื่อสารด้วยเสียงแทนการพิมพ์ผ่านหน้าจอโมบายหรือคีย์บอร์ด ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรง

            โดยบริษัทการ์ทเนอร์คาดว่าใน ปี 2020 ประมาณ 30% ของผู้ใช้งานออนไลน์ หรือบราวซ์อินเทอร์เน็ตจะใช้การสนทนากับระบบวอยซ์แพลตฟอร์มอย่าง Amazon Alexa, Google Assistant, Apple Siri หรือ Microsoft Cortana มากกว่าการพิมพ์

เปิดเจนใหม่กับอุปกรณ์พูดได้

            อาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาวอยซ์ แอสซิสเทนท์ ยังจัดอยู่ในเจนเนอเรชั่นเริ่มต้น โดยมีความท้าทายหลักคือการทำให้ระบบสามารถสนทนาได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับการสนทนาของมนุษย์ (Multi-Threaded Conversations) และการเชื่อมต่อหรือทำงานร่วมกับแอพในระบบอื่น รวมถึงการออกแบบ User Interface ใหม่เพื่อให้การทำงานผ่านการสนทนาได้ประสบการณ์ที่ดีและใช้งานง่าย

            นับวันจะเห็นได้ว่าระบบวอยซ์ แอสซิสเทนท์ เริ่มทำงานร่วมกับอุปกรณ์ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม โมบาย อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable) และแอพในชีวิตประจำวันอย่างแผนที่ (Map) ปฏิทิน (Calendar) หรือกิจกรรม (Activity) ทั่วไปเป็นต้น

            โดยบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Voice Personal Assistant ต่างเร่งมือในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้พร้อมทั้งขยายผลไปยังอุปกรณ์ในครัวเรือน เช่น อเมซอน (amazon.com) ที่ก้าวสู่การเป็นบริษัทผู้ประดิษฐ์อุปกรณ์ เช่น แทบเล็ตสำหรับนักอ่านอย่างคินเดิล (Kindle) และ Fire TV รวมถึงสินค้ายอดนิยมอย่าง “อเมซอน เอคโค่ (Echo)” เอคโค่ด๊อท (Echo Dot) และเอคโค่โชว์ (Echo Show) ซึ่งติดตั้งมากับวอยซ์ แอสซิสเทนท์ที่ชื่อว่า “อเมซอน อเลคซาร์” (Amazon Alexa) ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเวลานี้

            ขณะที่กูเกิลได้เร่งเสริมความแกร่งให้กับ “กูเกิล แอสซิสเทนท์” (Google Assistant) ที่เปิดการสนทนาด้วยคำสั่ง "OK Google" หรือ "Hey, Google" ด้วยงานวิจัยนวัตกรรมด้าน Speech Recognition ที่รวมเอาความสามารถของ Google Translation, Google Now และการทำงานร่วมกับ AI มาประกอบเข้าในแพลตฟอร์ม Google Assistant เพื่อให้พร้อมต่อการใช้งานของกูเกิล รวมถึงการทำงานร่วมกับโมบายแอพและอุปกรณ์หลากหลาย อาทิ ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Google Home โทรศัพท์ Google Pixel อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฮม การทำงานในรถยนต์ หรืออุปกรณ์สวมใส่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android Wear) ตลอดจนแชทแอพอย่าง Google Allo ที่สามารถพูดสนทนาไปพร้อมกับการแชท 

 

เร่งยึดพื้นที่ในบ้าน

            เว็บไซต์ VoiceBot ได้ระบุว่าในเดือน มิ.ย. 2017 Alexa มีฟังก์ชั่นหรือความชำนาญ (Skill) ในการทำงานมากกว่า 15,000 Skill ซึ่งนับว่ามากกว่าคู่แข่งอย่าง Google Assistant ที่มีอยู่ที่ 378 Skill และ Microsoft Cortana ที่มีอยู่ที่ 65 Skill

            โดยตัวอย่างของ Skill ที่กล่าวถึง ได้แก่ การเรียกรถอูเบอร์ การสั่งให้เล่นเพลง การควบคุมทีวี หรือการสั่งพิซซ่าให้มาส่งที่บ้าน โดยบริษัทโดมิโนพิซซ่าได้พัฒนาและเชื่อมต่อ Skill ใหม่เข้ากับ Alexa เพื่อให้สามารถรับคำสั่งซื้อพิซซ่าเพียงการสนทนากับ Alexa แถมยังสามารถสอบถามได้ว่าพิซซ่าอยู่ที่ไหนจากคำสั่งง่ายๆ เช่น “Alexa, ask Domino’s where my pizza is”

            ส่วนกูเกิลก็ได้ร่วมกับบริษัท GE Appliances ในการเชื่อมต่อระบบ Google Assistant เข้ากับเครื่องใช้ในครัวเรือนของแบรนด์ GE เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน และเครื่องต้มน้ำ เพียงผ่านการออกคำสั่งด้วยเสียงเพื่อให้เครื่องใช้เหล่านี้ทำงาน

            นับเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ที่สะดวกราวกับได้สนทนากับมนุษย์ จึงคาดว่านวัตกรรม Voice Personal Assistant จะเป็นจุดเปลี่ยนทางธุรกิจและการบริการที่สำคัญ

 

โอกาสและความท้าทาย

            การสั่งให้อุปกรณ์ทำงานได้ด้วยเสียงและการสนทนาผ่านนวัตกรรม Voice Assistant กำลังสร้างความตื่นตัวและเปิดโอกาสให้กับผู้เล่นในทุกอุตสาหกรรม ความชื่นชมในชีวิตสะดวกสบายผ่านโมบายได้เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่จนไม่อาจย้อนคืน ความสะดวกสบายจากการสนทนานับเป็นธรรมชาติของมนุษย์         

ดังนั้นนวัตกรรม Voice Assistant อาจเป็นก้าวต่อไปของการใช้ชีวิตแบบดิจิทัลจนยากที่แบรนด์และธุรกิจจะละเลย เพราะอาจจะส่งผลต่อการขายและการให้บริการต่อลูกค้าจนเกินคาดเดา จึงนับเป็นส่วนหนึ่งของงานดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น เพื่อให้ธุรกิจพร้อมรับมือกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง